แมนเชสเตอร์ ซิตี้ VS ลิเวอร์พูล

เรือใบยังไม่ติดเครื่องมากนัก จากผลงาน ชนะ 2 เสมอ 1 และทั้ง 5 ประตูที่ทำได้ไม่เคยยิงได้ก่อนนาที 70 แต่กระนั้นลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยังคงเป็นตัวเต็งจากขุมกำลังที่แน่นปึ้ก

ขณะที่ลิเวอร์พูลมี 7 คะแนนเท่ากัน หากไม่นับเกมเปิดสนามที่โดนวัตฟอร์ดไล่ตีเสมอ 3-3 แล้ว อีก 2 นัด หงส์แดงเก็บชัยแบบคลีนชีตได้หมดและมีเกมรุกดุดันสุดๆ ในวันไล่กระทืบอาร์เซน่อล 4-0 

ในระหว่างนี้ยังจัดการภารกิจคว้าตั๋วรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้สำเร็จจากการชนะฮอฟเฟ่นไฮม์เหย้า-เยือน

นั่นทำให้การเจอกันของเรือใบกับหงส์แดงในวันเสาร์นี้ เป็นเกมที่น่าดูอย่างมาก 

ปัจจัยสู่ชัยชนะมีให้จับจ้องหลายจุดโดยเฉพาะการดวลกันของ 2 คีย์แมนแดนกลางระหว่าง เควิน เดอ บรอยน์ กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน 

การมาของ แบร์นาโด้ ซิลวา กับการลุยตั้งแต่เริ่มฤดูกาลของ กาเบรียล เชซุส ทำให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีตัวเลือกในแนวรุกมากมาย และดูเหมือนว่าเขาจะกำหนดบทบาทของ เดอ บรอยน์ ให้ขยับลงต่ำกว่าเดิม

เทียบตำแหน่งการยืนเฉลี่ยจะเห็นได้ว่า กองกลางทีมชาติเบลเยียมมีพื่นที่ยืนเฉลี่ยต่ำกว่าเดิมระหว่างเกมกับเลสเตอร์ฤดูกาลก่อน กับบอร์นมัธเกมล่าสุด 

เทียบเทียบตำแหน่งการยืนของ เดอ บรอยน์ ในเกมเลสเตอร์ ซีซั่นก่อน และ เกมบอร์นมัธล่าสุด

จุดน่าสังเกตุคือ จากเดิมที่คอยเปิดบอลให้ผู้เล่น 1, 2 หรือ 3 คนข้างหน้า กลายเป็นมีตัวเลือกเป็น 4-6 ในระนาบใกล้เคียงกัน

เตือนความจำกันอีกนิดถึงความอันตรายในการเปิดบอลของ เดอ บรอยน์ คือ แอสซิสต์ไป 18 ครั้งในฤดูกาลที่แล้ว มากกว่าทุกคนในลีก และเป็นสถิติสูงสุดในฤดูกาลเดียวของผู้เล่นซิตี้

นอกจากนี้ อดีตแข้งเชลซียังสร้างสรรค์โอกาสมากเป็นอันดับ 2 ของลีกที่ 103 ครั้ง รองแค่ คริสเตียน เอริคเซ่น (112) 

ฤดูกาลนี้ผ่านมา 3 นัด เดอ บรอยน์ มีค่าเฉลี่ยจ่ายบอลและสัมผัสมากขึ้น 40 เปอร์เซ็นต์ และ 20 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ 

อีกจุดคือ การจ่ายบอลในพื้นที่สุดท้าย (final third : แบ่งสนามออกเป็น 3 ส่วน พื้นที่สุดท้ายคือ เลยเส้นกลางสนามไปจนถึงสุดเส้นหลังฝั่งคู่แข่ง) ในเกมกับบอร์นมัธ เดอ บรอยน์ ทำได้มากถึง 46 ครั้ง ซึ่งมากกว่าทุกเกมของฤดูกาลที่แล้ว ตรงนี้พอจะประเมินได้ว่าได้เล่นในตำแหน่งที่เหมาะสำหรับการลำเลียงบอลโจมตีคู่แข่ง

เควิน เดอ บรอยน์ ขยับลงต่ำมากขึ้นและมีช่องเปิดบอลโจมตีคู่แข่งได้ถนัดยิ่งกว่าเดิม

หากลิเวอร์พูลต้องการมีหนึ่งแต้ม หรืออาจถึง 3 แต้ม ในเกมวันเสาร์นี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องปิดช่องไม่ให้ เดอ บรอยน์ ได้เปิดบอลถนัดถนี่ มิเช่นนั้นน้ำตาตกแน่นอน

มาดูผลงานและความสำคัญของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กันบ้าง 

อดีตดาวรุ่งซันเดอร์แลนด์คือหัวใจสำคัญในแดนกลางลิเวอร์พูลอย่างแท้จริงด้วยสถิติจ่ายบอลมากที่สุดในทีมนับจากเปิดฤดูกาลเป็นต้นมา

สถิติการผ่านบอล, ผ่านบอลเข้าสู่พื้นที่สุดท้าย และผ่านบอลจบในพื้นที่สุดท้ายของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน 

นอกจากนี้ เฮนเดอร์สัน ยังมีความขยันเป็นเลิศไม่ต่างจาก เดอ บรอยน์ โดยกัปตันหงส์แดงวิ่งคุมพื้นได้มากกว่าเพื่อนร่วมทีมทุกคน และเมื่อเทียบทั้งหมด 346 คนที่เล่นในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ มีเพียง 6 คนที่วิ่งมากกว่ากัปตันทีมชาติอังกฤษคนล่าสุด 

เฮนโด้ ยังมีสถิติเข้าแท็กเกิ่ลและตัดบอลได้มากกว่าผู้เล่นแดนกลางลิเวอร์พูลคนอื่น นั่นทำให้เป็นฝ่ายกลับมาครอบครองบอลและเปิดเกมโจมตีคู่แข่งได้ทันที 

เมื่อรวมกับสไตล์การเล่นที่ทุ่มเท ยิ่งทำให้บทบาทของ เฮนเดอร์สัน สุดสำคัญอย่างยิ่งในเกมวันเสาร์นี้เหมือนกับที่เคยบดบังรัศมี เดอ บรอยน์ มาแล้วในฤดูกาลก่อน 

ในเกมที่ลิเวอร์พูลชนะแมนฯ ซิตี้ 1-0 เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว เควิน เดอ บรอยน์ ไม่สามารถสร้างสรรค์โอกาสจากจังหวะโอเพ่นเพลย์ได้แม้แต่ครั้งเดียว และเป็นนัดเดียวตลอดฤดูกาลที่โดนปิดตายสนิทแบบนี้ นอกจากนี้ยังได้สัมผัสบอลเพียง 57 ครั้ง ซึ่งน้อยที่สุดในเกมที่เล่นเต็ม 90 นาที 

จอร์แดน เฮนเดอร์สัน คีย์แมนสำคัญหงส์แดงในเกมบุกเยือนเรือใบ 

ในนัดสองที่เอติฮัด สเตเดี้ยม เฮนเดอร์สัน พลาดช่วยลิเวอร์พูลเพราะบาดเจ็บซึ่งการขายหายไปของเขาส่งผลทันทีเพราะ เควิน เดอ บรอยน์ ได้เล่นอย่างอิสระเสรี โดยจ่ายบอลสร้างโอกาสสูงสุดในเกมถึง 4 ครั้ง และสัมผัสบอลมากถึง 99 ครั้ง

เจอร์เก้น คล็อปป์ มีสถิติคุมทีมเจอแมนฯ ซิตี้ ดีมากเมื่อชนะได้ถึง 3 จาก 4 นัด และหาก เฮนเดอร์สัน จัดการ เดอ บรอยน์ ได้อีก หงส์แดงก็มีโอกาสยืดสถิติยอดเยี่ยมตรงนี้ออกไป