สำหรับปอล ป็อกบา ซูเปอร์สตาร์ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ออกมายอมรับว่า เขาเคยป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ระหว่างที่โชเซ่ มูรินโญ่ เข้ามากุมบังเหียนทีม “ปีศาจแดง” ส่งผลให้ฟอร์มการเล่นในสนามของเขาตกลงไป แถมยังทำให้เขาเกิดความไม่แน่นอนภายในจิตใจอีกด้วย เขาตั้งคำถามกับตัวเองตลอดเวลาว่า ตัวเองทำอะไรผิดไปหรือไม่
ป็อกบา กล่าวเสริมว่า แม้การเป็นนักเตะระดับโลก จะนำมาซึ่งเงินทองมากมาย ไม่ว่าจะเป็นค่าเหนื่อย และเม็ดเงินจากการเป็นพรีเซนเตอร์ อย่างไรก็ตาม มันก็ต้องแลกมากับความกดดันอย่างมหาศาล โดยการเป็นนักฟุตบอล แต่ละคนต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก และไม่ใช่ทุกคนที่จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
สำหรับป็อกบา ไม่ใช่นักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รายแรก ที่ออกมาบอกว่ามีอาการเป็นโรคซึมเศร้า ย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านี่ ไมเคิ่ล คาร์ริค อดีตกองกลางคนสำคัญของทีม เคยออกมาบอกเช่นเดียวกันว่า ต้องเผชิญหน้ากับโรคซึมเศร้า ที่สร้างภาวะภายในจิตใจ
คาร์ริค บอกว่า ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศ 2009 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างการเป็นซึมเศร้าของเขา เกิดมาจากการแข่งขันทัวร์นาเมนต์นั้น ช่วงนี้ เราลองไปย้อนความทรงจำกันหน่อย พร้อมกับดูกันว่า นักฟุตบอลมีปัจจัยอะไรบ้าง ที่ทำให้พวกเขาเข้าสู่ภาวะซึมเศร้า
"เหตุการณ์ที่กรุงโรม, ผมกลายเป็นคนซึมเศร้า"
ไมเคิ่ล คาร์ริค ออกมาย้อนความหลัง ที่เกิดขึ้นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศ ในช่วงขวบปี 2009 โดยเป็นเกมที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พ่ายต่อบาร์เซโลน่า 0-2 ณ สนามโอลิมปิโก้ กรุงโรม ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นเกมที่ทำให้เขาตกอยู่ในช่วงของภาวะซึมเศร้า
คาร์ริค ขยายความต่อว่า จุดเริ่มต้นทั้งหมด เกิดมาจากการที่เขาโหม่งบอลไปเข้าทางของชาบี เอร์นานเดซ กองกลางตัวเก่งของบาร์ซ่า อันนำมาซึ่งการทำประตูแรกของทางซามูเอล เอโต้ แม้ว่าเขาจะพยายามแก้ตัวด้วยการเข้ามาเสียบสกัด แต่มันก็ไม่ทันเวลาแล้ว
คาร์ริค บอกว่า ภาวะซึมเศร้าคอยกัดกินใจเขา ทีละเล็กทีละน้อย ผลสุดท้าย เขาเริ่มรู้สึกว่ากำลังสูญเสียความเป็นตัวเองไป โดยกล่าวว่า ”ผมเดินทางออกจากกรุงโรม ทว่ากรุงโรม ไม่เคยออกจากตัวผมเลย เมื่อผมกลับถึงบ้าน ผมออกไปนั่งในสวน และไม่พูดจากับใครเลย”
“ย้อนกลับไปช่วงเวลานั้น ผมไม่สนทนากับใครเลยจริงๆ ผมกลายเป็นคนที่สูญเสียความรู้สึกไป ผมคิดว่ามันเป็นภาวะซึมเศร้า มันเกิดขึ้นหลายครั้ง อาจมีบางเกมที่ผมรู้สึกไม่ดี หรือย่ำแย่ แต่เพียงไม่กี่วัน ความรู้สึกเหล่านั้นก็จะจางหายไป แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่กรุงโรม ผมไม่สามารถนำมันออกไปได้ มันจึงรู้สึกแปลกมากๆ”
คาร์ริค บอกว่า การทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักฟุตบอลสักคนเกิดความไม่ปกติในด้านจิตใจ เพราะอย่าลืมว่า ฟุตบอลเป็นเกมการแข่งขันที่เต็มไปด้วยความกดดัน และเดิมพันที่สูงมาก
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การผิดพลาดเพียงจังหวะเดียว อาจนำมาซึ่งความพ่ายแพ้ หรือการเสียแชมป์ได้เลย
สำหรับคาร์ริค กล่าวถึงการมีส่วนให้ทีมเสียประตูแรกว่า “ตอนนั้น ผมเอาแต่โทษตัวเอง ผมเฝ้าถามตัวเองตลอดเวลาเลยว่า -ทำไมผมถึงทำแบบนั้น ?- ภาวะซึมเศร้าคืบคลานเข้ามา มันติดอยู่ไม่หายไปไหน หลังจากนั้น ระยะเวลาเป็นปีๆ ที่ผมจะต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบาก"
"ผมพยายามเก็บเรื่องเหล่านี้เอาไว้กับตัวเองเท่านั้น พร้อมกับพยายามฝ่าฟัน และหลุดพ้นมันไปให้ได้" คาร์ริค เสริมถึงการต่อสู้กับภาวะซึมเศร้า โดยแม้แต่ผู้จัดการทีมที่เขาไว้ใจอย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็ยังไม่ทราบถึงปัญหาเรื่องจิตใจที่เขาต้องเจอด้วย
คาร์ริค ทิ้งท้ายว่า ”ผมไม่เอ่ยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่กรุงโรม กับผู้จัดการทีมเลย ผมรู่สึกว่าพูดออกไปไม่ได้จริงๆ เพราะผมรู้สึกเจ็บปวดมากเหลือเกิน แม้ว่าตอนนี้ เรื่องนั้นจะผ่านมาเป็น 10 ปีเต็มแล้ว แต่บางส่วนของการแข่งขันนัดนั้น ก็ยังคงวนเวียนอยู่ไม่หายไปไหน”
“หลังจากจบเกม ผมก็เดินไปรับเหรียญรองแชมป์ ผมรู้ดีว่า มันเป็นเหรียญที่ผมไม่เคยต้องการ ผมเดินกลับเข้ามาที่ห้องแต่งตัว ผมไม่ต้องการพูดกับใคร ผมทำได้เพียงแค่ทรุดตัวลงบนที่นั่ง และเอามือมากุมหัวเท่านั้น"
"จากนั้น ผมเก็บตัวช่วงปรีซีซั่นกับทีม ภาวะซึมเศร้ายังคงหลอกหลอนอยู่ ส่งผลให้ฤดูกาล 2009-10 จึงเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่มากที่สุดของผมกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผมสูญเสียความแน่นอนไป ผมรู้สึกหนักหัว และแน่นที่หัวใจ ร่างกายของผมรู้สึกถึงความหนักอึ้ง"
"ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองติดอยู่ในร่อง ราวกับว่าเหตุการณ์ได้หยุด, เริ่มต้นใหม่ และหยุดอีกครั้ง ผมลองพยายามแล้ว แต่ไม่สามารถนำตัวเองกลับสู่การใช้ชีวิตได้เลย โดยที่ความเชื่อมั่นถือเป็นส่วนหนึ่งของผลงานนักกีฬา เมื่อมันหายไป คุณจะรู้สึกถึงความสิ้นหวัง" คาร์ริค ทิ้งท้ายถึงความกดดันในอาชีพนักฟุตบอล
