เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อแต่เกิดขึ้นแล้วหลังความปราชัยนัดล่าสุดต่อ เซาธ์แฮมป์ตัน ที่ เซนต์ แมรี่ส์ สเตเดี้ยม

สเปอร์ส ลงสนามก่อนและพลาดท่าคาบ้าน นี่คือโอกาสที่ดีมากสำหรับ อาร์เซน่อล ในการทำคะแนนขึ้นไปทาบเท่า ทว่าก็ดันสะดุดตามกันไป 

มิเกล อาร์เตต้า เปลี่ยนทีมจากนัดพ่ายต่อ ไบรท์ตัน ด้วยการส่ง นูโน่ ตาวาเรส ลงเล่นแบ็กซ้ายตัวจริงเพื่อขยับ กรานิต ชาก้า กลับมาเล่นตำแหน่งประจำแดนกลาง ขณะที่หน้าเป้าเป็นโอกาสของ เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ ในวันที่ อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ มีอาการป่วยจนไม่มีชื่อในทีม

ในครึ่งแรก อาร์เซน่อล ครองบอลและทำเกมรุกได้ดีกว่านัดกับ ไบรท์ตัน เนื่องจาก มาร์ติน โอเดการ์ด ได้เล่นเกมรุกมากกว่า ไม่ต้องไปคอยไล่บอลช่วย แซมบี้ โลคองก้า 

แต่จังหวะสุดท้ายในการจบสกอร์ก็ยังเป็นปัญหาเหมือนเดิม เอ็นเคเทียห์ มีจังหวะเล่นร่วมกับเพื่อนบ่อยครั้ง แต่การที่ถ่างออกมาล้วงบอลก็ทำให้ตัวจบสกอร์ในเขตโทษหายไป 

เซาธ์แฮมป์ตัน ครองบอลน้อยกว่า แต่เป็นฝ่ายได้ประตูนำจากความผิดพลาดในเกมรับของอาร์เซน่อลที่ยืนกันหละหลวมและไม่ตื่นตัวมากพอ 

ปืนใหญ่เคลียร์ลูกเตะมุมได้ในจังหวะแรก แต่พอนักบุญเก็บได้กลับมาเล่นต่อ ระเบียบในเกมรับของปืนใหญ่ก็ไม่เหมือนเดิม พวกเขาปล่อยให้ ยาน เบดนาเร็ค มีเวลาและพื้นที่ได้ง้างยิงเน้นๆ มากเกินไป

ความกดดันถาโถมเข้าใส่ อาร์เซน่อล ด้วยการที่แพ้มา 2 นัดติด และต้องปรับแท็กติกต่อเนื่องหลังตัวหลักๆ ทยอยบาดเจ็บ  

ผ่านไปครบหนึ่งชั่วโมง มิเกล อาร์เตต้า ตัดสินใจถอดแบ็กขวา เซดริก โซอาเรส ออกแล้วส่ง เอมิล สมิธ โรว์ ลงไปช่วยเกมรุก และจากนั้นอีกสิบนาทีถัดมา แบ็กซ้าย ตาวาเรส ก็โดนถอดเพื่อใส่ตัวรุก นิโกล่าส์ เปเป้ เพิ่มไปอีกคน

อาร์เตต้า เทหมดหน้าตักในช่วง 20 นาทีสุดท้ายเพื่อทวงประตูคืนให้ได้ 

ปืนใหญ่โหมได้มากกว่าครึ่งแรก การครองบอลเหนือกว่าระดับ 83 เปอร์เซ็นต์ โอกาสยิงจาก 4 ครั้งในครึ่งแรก เพิ่มเป็น 19 ครั้งในครึ่งหลัง

แต่ปัญหาก็เดิมๆ คือไม่เฉียบขาดมากพอเพราะมีถึง 11 ครั้งที่ไม่เข้ากรอบ อีก 4 ครั้งติดบล็อก ที่เหลือก็ยังไม่ดีพอที่จะผ่านมือ เฟรเซอร์ ฟอร์สเตอร์

ท้ายที่สุด ชัยชนะตกเป็นของ เซาธ์แฮมป์ตัน ที่ครองบอลเพียง 1 ใน 4 เท่านั้น

อาร์เตต้า กล่าวหลังเกมว่า "มันน่าผิดหวังมากๆ และยากจะอธิบาย มันเป็นสิ่งที่ทำให้กีฬาชนิดนี้แตกต่างออกไปเพราะในการเล่นบาสเกตบอล คุณชนะ 10 จาก 10 ครั้งเลยนะหากมีโอกาสยิงถึง 25 ครั้ง และคู่แข่งได้ยิงครั้งเดียว" 

"เราเสียประตูกันง่าดายทั้งที่ครองบอลแทบฝ่ายเดียว และสร้างความอันตรายให้กับคู่แข่งได้ด้วย เราเล่นอยู่ในแดนพวกเขาแทบตลอด และควรที่จะทำได้ 3-4 ประตูด้วยซ้ำ"

"จริงๆ มันไม่ซับซ้อนอะไรเลยนะ เมื่อคุณเล่นได้ขนาดนี้ คุณจำเป็นต้องทำประตูให้ได้"

ความพ่ายแพ้ล่าสุดสะท้อนให้เห็นถึง "จุดบอด" หลายๆ อย่างของ อาร์เซน่อล อีกครั้ง

จุดแรกคือ กองหน้าที่ไม่มีประสิทธิภาพมากพอแม้เปลี่ยนจาก ลากาแซ็ตต์ มาเป็น เอ็นเคเทียห์ 

อาร์เตต้า และ เอดู เลือกเดิมพันตัดหางปล่อยวัด ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง และไม่ได้ดึงใครมาทดแทนในตลาดหน้าหนาว พวกเขาฝากความหวังเอาไว้ที่ ลากาแซ็ตต์ กับ เอ็นเคเทียห์ แต่ผลลัพธ์คือ "ล้มเหลว"

เช่นเดียวกับโอกาสในการเสริมทัพตำแหน่งอื่นเพื่อเป็นอะไหล่ในยามที่ตัวหลักบาดเจ็บ ก็เลือกปล่อยผ่าน

ในทันทีที่ คีแรน เทียร์นีย์, โธมัส ปาร์เตย์ และ ทาเคฮิโระ โทมิยาสึ ขาดหายไป คนอื่นๆ ก็ไม่สามารถทดแทนได้ 

อาร์เตต้า ใช้สำรองแค่สองคนคือ สมิธ โรว์ กับ เปเป้ แต่ไม่กล้าเปลี่ยนอีกโควตาเพราะส่วนใหญ่มีแต่ดาวรุ่งข้าง ขณะที่ โมฮาเหม็ด เอลเนนี่ ก็แค่มีชื่อให้ครบๆ สำรองเพราะแทบไม่ได้ใช้งานอยู่แล้ว

การปล่อย โอบาเมย็อง รวมถึง เอนส์ลีย์ เมทแลนด์-ไนล์ส และ คาลั่ม แชมเบอร์ส ออกไป ทำให้ตัวเลือก อาร์เซน่อล น้อยยิ่งกว่าเดิม และบางคนก็ไม่ได้มีคุณภาพมากพอจะลงพลิกเกม การที่ อาร์เตต้า ไม่กล้าเลือกใช้งานก็บ่งบอกเป็นอย่างดีอยู่แล้ว 

อาร์เซน่อล ทิ้งโอกาสทำประตูในเกมนี้ไปหลายครั้งก็ไม่ต่างจากที่พวกเขาทิ้งโอกาสในการเสริมความแข็งแกร่งให้ดีขึ้นในตลาดหน้าหนาว ทิ้งโอกาสที่จะยึดอันดับ 4 ไปยาวๆ ในช่วงก่อนหน้าคู่แข่งสะดุดบ่อยครั้ง และทิ้งโมเมนตัมดีๆ ในช่วงสามเดือนแรกของปี

โอกาสกลับคืนสู่ฟอร์มการเล่นที่ดียิ่งไม่ง่ายเพราะสามนัดต่อไปต้องเจอทีมกลุ่มลุ้นตั๋วยุโรปทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นไปเยือน เชลซี ในวันพุธนี้ ต่อด้วยรับมือ แมนฯ ยูไนเต็ด ในสุดสัปดาห์ และไปเยือน เวสต์แฮม ในสัปดาห์หน้า

แพ้มา 3 นัดก็เสียหายมากแล้ว แต่มีโอกาสสูงมากที่จะทรุดหนักลงไปยิ่งกว่านี้เพราะในหลายครั้งที่มีโอกาส อาร์เซน่อล ก็ทำหลุดมือไปเสียเอง