:::     :::

"VETO"

วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน 2565 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
1,645
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ความคืบหน้าของดีลแฟรงกี้ เดอ ยอง หลังจากสมัชชาบาร์ซ่าลงมติอนุมัติให้ขายหุ้นและสิทธิ์ทีวีเพื่อดึงเงินกลับมาในระบบ บาร์ซ่าจะยังอยากขายเดอยองอยู่หรือไม่ และการตัดสินใจซื้อขายนักเตะของแมนยูไนเต็ด มีฝ่ายไหนที่รับผิดชอบตัดสินใจบ้าง บทความนี้คือคำตอบ

เป็นช่วงเวลาที่แฟนแมนยูไนเต็ดจะต้องติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของทีมกันอย่างใกล้ชิดต่อไป โดยในตอนนี้ ไม่มีดีลอื่นที่สโมสรเราพุ่งเป้า นอกจากความพยายามในการปิดจ็อบ "แฟรงกี้ เดอ ยอง" ให้ได้

ถ้าจะให้ดีที่สุดอยากให้ท่านผู้อ่าน ได้อ่านข้อมูลในบทความ "Straight Flush" ของผมก่อนในเบื้องต้น แล้วจะเข้าใจบริบทของสถานการณ์ขึ้นอีกมาก

เกริ่นคร่าวๆก็คือ หลังจากที่สมัชชาบาร์ซ่าโหวตลงคะแนนเสียงเรื่องการนำทรัพย์สินสโมสรไปเปลี่ยนเป็นผลประโยชน์ตัวเงินกลับเข้ามา จากการขายหุ้นส่วนน้อยของ บริษัท BLM ที่ดูแลเรื่องลิขสิทธิ์และสินค้าของบาร์ซ่า รวมถึงสิทธิ์การถ่ายทอดทางโทรทัศน์ ทำให้พวกเขาจะสามารถได้รับเงินราวๆ 600 ล้านยูโรจากการactivate กลไกการเงินของ economic levers ทั้งสองทางนี้ ด้วยการ approve ของสมาชิกสภาบาร์ซ่าที่โหวต 88%, 87% ในการขายหุ้น BLM และ สิทธิ์ทีวีตามลำดับนั้น

จากเหตุการณ์เมื่อคืนเวลาตี3ตี4ตามเวลาบ้านเรา ยืนยันตามรายงานสถานการณ์การซื้อขายกับแมนยูไนเต็ดว่า ผลตรงนี้จะ "ไม่เปลี่ยนใจบาร์ซ่า" ที่ต้องการจะขาย แฟรงกี้ เดอ ยอง แน่นอน

พูดง่ายๆบาร์ซ่ายังอยากขายเหมือนเดิม

ถึงจะขายหุ้นขายสิทธิ์และได้รับเงินอุดหนุนสโมสร แต่ก็ยังต้องหาทางลดภาระก้อนใหญ่ของสโมสรอีกอยู่ดี

ราคาเริ่มต้นต่ำสุดของ FDJ คือ 80ล้านยูโร และแมนยูไนเต็ดเป็นเพียงทีมเดียวจริงๆที่มีการดำเนินการติดต่ออย่างเป็นทางการมาด้วยข้อเสนอ 60ล้านยูโร(เงินต้น) บวกกับข้อเสนอ add-ons ซึ่งถูกปัดตกไปเรียบร้อยใน First offer นี้จากแมนยูไนเต็ด

[@fansjavimiguel]

รายงานสำทับเพิ่มความชัวร์มาจากเฮียแฟ้บ F.Romano ว่าสถานการณ์ของดีลแฟรงกี้ เดอ ยอง นั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ยูไนเต็ดกับบาร์ซ่ายังพูดคุยกันโดยตรงอยู่

ซึ่งค่าเหนื่อยของนักเตะนั้นสร้างปัญหาให้กับทางบาร์ซ่าอยู่พอสมควร (354k/week) แฟรงกี้ เดอ ยอง ก็รอคอยความชัดเจนของการดำเนินการจากทั้งสองสโมสรอยู่

ฝั่งแมนยูไนเต็ดเองไม่ต้องการพูดถึงตัวเลือกสำรองในกรณีนี้เลย และยังคงโฟกัสเป้าหมายในการคว้าตัวแฟรงกี้ เดอ ยองให้ได้ โดยบาร์ซ่าแจ้งว่า พวกเขาต้องการการันตีเม็ดเงิน "73ล้านปอนด์" ในการคว้าตัวเดอยอง และการพูดคุยยังคงดำเนินต่อไป

[@FabrizioRomano]

ข่าวจากโรมาโน่ค่อนข้างชัดเจนตามสถานการณ์ที่ผ่านมาว่ามันนิ่ง และไม่ขยับเพิ่มเติม นอกจาก "ตัวเลข" ที่เพิ่งรายงานมาเมื่อกี๊นี้จากRomano ว่าราคา 73ล้านปอนด์ (หรือ 85 ล้านยูโร) คือราคาที่บาร์ซ่าต้องการ

ตรงนี้น่าจะทำให้แฟนผีพอเห็นภาพแล้วว่า ค่าตัวของแฟรงกี้ สุดท้ายแล้วก็น่าจะปิดที่เรทนี้นั่นเอง ซึ่งค่าตัวก็เท่ากับที่ยูไนเต็ดดึงนักเตะพรสวรรค์อย่าง เจดอน ซานโช่ เข้ามาเสริมทีมเมื่อซัมเมอร์ปีที่แล้ว (72.9ล้านปอนด์)

สิ่งที่หลายคนอยากรู้ก็คือ การตัดสินใจเรื่องการเซ็นนักเตะใหม่ของเรา สิทธิ์ในการพิจารณาอยู่ที่ใครบ้าง? เทน ฮาก มีอำนาจเด็ดขาดคนเดียวเลยเหรือไม่

ข่าวตรงนี้ถ้าใครติดตามมาเรื่อยๆน่าจะพอเคยเห็นที่ผมเขียนข้อมูลมาให้นะครับ นั่นก็คือ เทน ฮาก นั้นให้เกียรติ และรับฟังคำเสนอแนะจากทางแมนยูไนเต็ดด้วย และตัวเขาเองก็มีสิทธิ์เต็มที่ไม่ต่างกัน ที่จะเลือกเอง หรือคัดค้านคำแนะนำที่ได้รับมา

โดยการตัดสินใจทั้งหมดจะมีผู้รับผิดชอบฟันธงร่วมกันสามฝ่าย ผู้ถือหอกเล่มแรกคือ "จอห์น เมอร์โทต์" ผู้อำนวยการฟุตบอลของสโมสร / ผู้ถือหอกคนที่สอง คือ "เอริค เทน ฮาก" ผู้จัดการทีม และคนสุดท้ายคือหัวหน้าฝ่ายแมวมองอย่าง "สตีฟ บราวน์" ในรูปนี้นั่นเอง

ตามที่รายงานกันมาตลอดว่า ทั้งเทน ฮาก และบอร์ดสโมสร มีสิทธิ์ที่จะ "วีโต้" (VETO) ซึ่งกันและกันทั้งสามฝ่าย คือช่วยกันออกความเห็น + รับฟังความเห็นร่วมกันสามฝ่ายนั่นเอง

[@RobDawsonESPN]

วีโต้คืออะไร? คืออำนาจสิทธิ์ในการยับยั้งหรือ "เบรค" มติ หรือคำวินิจฉัยต่างๆที่เกิดขึ้นนั่นเอง จะบอกว่าผู้ร่วมตัดสินใจทั้งสามฝ่าย หากมีกรณีไหนที่ไม่เห็นด้วย ก็สามารถค้านมติกันก็ได้

ประเด็นนี้ไม่มีอะไรมาก และไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องความล่าช้าของดีลแฟรงกี้ ผมมั่นใจว่าทันทีที่เขียนเรื่องนี้ อาจมีแฟนบอลบางส่วนรู้สึกกังวลกับความ "ไม่เป็นUnity" ในเรื่องนี้ ที่ เอริค เทน ฮาก ไม่ได้มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจแค่คนเดียว

ผมมั่นใจว่าจะต้องมีคนเอาเรื่องนี้ไป "ดราม่า" ด่าสโมสร ด่าทีมงาน และมองทุกอย่างในแง่ลบที่เลวร้ายเกินกว่าความเป็นจริงจนกลายเป็นtoxicแน่ รับประกันได้

ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผู้เขียนพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดขึ้น ดังนั้นการอธิบายด้วยเหตุและผลเป็นสิ่งสำคัญ

คำถามคือ การมีสิทธิ์ VETO กันสามฝ่าย มีปัญหาอะไรหรือไม่?

คำอธิบายมันโคตรง่าย ถ้าเข้าใจกระบวนการทำงานของดีลซื้อขายนักเตะว่ามันมีรายละเอียดและปัจจัยแวดล้อมเยอะๆนั้น จะรู้เลยว่า คำไทยเก่าๆยังคงใช้ได้ผลเสมอ ในสำนวนที่ว่า "หลายหัวดีกว่าหัวเดียว" ซึ่งมีประโยชน์มากกว่ามีโทษ

การมีหลายๆฝ่ายช่วยกันพิจารณาและตัดสินใจ เป็นสิ่งที่ดีในการ "เลือกเป้าหมาย" ในการเซ็นสัญญาและเสริมทัพ ซึ่งสามฝ่ายก็มีความรู้ทางด้านฟุตบอลกันเน้นๆ เพราะมันมาจากความเห็นของ ผู้จัดการทีม + ผู้อำนวยการกีฬา + หัวหน้าฝ่ายScout

ไม่มีคนไหนเป็นฝ่ายบัญชีหรือการเงินมาออกเสียงตรงนี้เลย ถ้าจะมีก็คือผู้ที่เข้ามาช่วยดูแลรายละเอียดและคุมบัญชีเวลาที่ "ต่อรองดีล" อย่างเหมาะสมเท่านั้น

แต่การตัดสินใจเลือก มาจาก "คนฟุตบอล" ของเราล้วนๆ ดังนั้นในข้อมูลเรื่องนี้ การมีหลายหัวช่วยกันคิด เป็นผลดีมากกว่าผลเสีย

นี่คือประการแรก

ประการที่สองคือ สิทธิ์วีโต้ที่ว่านี้ เกิดขึ้นในภาคการออกความเห็น และ "เคาะ" ดีลเท่านั้นว่าจะเอายังไง ไปต่อหรือไม่ และจะย้ายไปตัวอื่นดีไหม ผลปรากฏที่ออกมาคือ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดยังคงชัดเจน และมุ่งมั่นโฟกัสในการเดินดีล แฟรงกี้ เดอ ยองให้สำเร็จ

ความล่าช้าตรงนี้เกิดจากการต่อรองราคาล้วนๆ ในยามที่นักเตะก็ไม่ได้ปิดกั้นการย้ายทีม เหลือแค่สองสโมสรพูดคุยราคาและรายละเอียดข้อตกลงทางการเงินต่าๆงเท่านั้น

การที่สโมสรยังคงเดินดีลกับบาร์ซ่าต่อจนถึงบัดนี้ ก็ชัดเจนว่าทั้งสามเสียงไม่ได้มีปัญหาอะไรในเรื่องนี้ และมันคือเรื่องของการประชุมแผนงานร่วมกันของบุคลากรสโมสรที่ทำงานกันเป็นทีมเวิร์คจาก "หลายๆฝ่าย" เท่านั้นเอง

องค์กรต่างๆบนโลกนี้เขาก็มีหลายๆแผนก หลายๆฝ่ายที่ต้องทำงานร่วมกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจจากผู้บริหาร ฝ่ายรีครูท ฝ่ายHR ฝ่ายการเงิน เขาก็ทำงานร่วมกันทั้งนั้น

ที่สำคัญคือ อำนาจการตัดสินใจร่วมกันเช่นนี้ที่ฝ่ายscout / ETH / Director มีสิทธิ์เสนอแนะ และรับฟังกันในการวีโต้นั้น เป็นสิ่งที่เทนฮากตกลงกับบอร์ดมาตั้งแต่แรกตอนรับตำแหน่งแล้ว ถ้าใครตามข่าวละเอียดๆจะจำเรื่องนี้ได้

ไม่ใช่เรื่องดราม่าอะไรเลย

แฟนบอลกลุ่มที่ชอบตำหนิเรื่องแมนยูโง่ทำงานทีละดีลนี่ควรจะเลิกได้แล้ว ถ้าอ่านและติดตามรายละเอียดข่าวกัน มีข้อมูลออกมาตลอดว่าแผนงานและการเดินดีลมันมีอยู่เรื่อยๆ เพียงแต่ว่าการปิดดีลให้สำเร็จ มันต้องดูแลไปทีละเคสเท่านั้นเอง

แต่ไม่ได้แปลว่าเราไม่ทำงานในการหานักเตะคนอื่น หรือเดินเรื่องดีลอื่นเลย

จากข่าวที่ขึ้นมาโดยเฉพาะดีลแอนโทนี่ อีริคเซ่นที่ยื่นไปแล้ว ค่อนข้างชัดเจนว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่ใครกังวล

ต้องบอกก่อนว่า จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าผู้เขียนไม่รู้ร้อนรู้หนาว หรือชิลจนเกินเหตุแต่อย่างใด เราเองก็หงุดหงิดและใจร้อนไม่ต่างจากคนอื่นหรอกครับ อยากให้มันปิดดีลให้จบๆเหมือนกัน เพราะในฐานะนักเขียน เราก็เหนื่อยกับมหากาพย์เช่นกันที่ต้องติดตามเรื่องนี้ เพื่อมานำเสนอข้อมูลที่กรองแล้วให้ผู้อ่าน

ถ้าให้เลือกได้ ผมเองก็ยังอยากได้คนระดับ Fabio Paratici ให้มาดำเนินงานหลังบ้านเหมือนกันแหละ ใครก็อยากได้ผู้บริหารหรือCEOที่มีโปรไฟล์ดีๆ มีความน่าเชื่อถือสูงๆทำงานอยู่ในสโมสรที่ตัวเองเชียร์อยู่แล้ว

แต่โลกความเป็นจริงมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น

สโมสรมีการดำเนินการโดยเฉพาะเรื่องซื้อขายนักเตะที่ไม่ตรงเป้า และล้มเหลว ล่าช้า แพงเกินกว่าเหตุมานานมากๆ และปัญหาเหล่านั้นค่อยๆแก้ไขแล้วทีละน้อย โดยเฉพาะเรื่องที่เขี้ยวลากดิน ไม่ยอมเป็นเบี้ยล่างสโมสรอื่นๆให้มาขูดรีดเราได้อีกต่อไป ทั้งขาเข้า ขาออก แมนยูไนเต็ดทำได้ดีขึ้นในเรื่องการรักษาราคาซื้อขายที่ไม่ยอมโดนโก่งเกินกว่าเหตุ

ประเด็นนี้น่าจะจบแล้ว

ในเรื่องทันใจ ยามที่ถูกเปรียบเทียบกับสโมสรอื่นๆ อย่างซิตี้ ลิเวอร์พูล รวมถึงท็อตแน่มของ Paratici แล้วด้วย ไม่แปลกที่แฟนบอลแมนยูจะร้อนรนใจกันทุกคนแม้กระทั่งเราเองก็ตาม

ตรงนี้มีวิธีคิดง่ายๆว่า มันก็จริงที่เราไม่ได้มีผู้บริหารเก่งๆแบบนั้น ก็พยายามและภาวนาให้สิ่งที่มีอยู่ในโลกความเป็นจริงของเรา จากการทำงานของ จอห์น + เอริค + สตีฟ มันจะผ่านและดำเนินการไปได้ด้วยดี ที่สุดท้ายแล้วไม่ว่าช้าหรือเร็ว เอริค เทน ฮาก จะได้นักเตะครบตามที่เขาต้องการ

ลำดับ กับ เวลา อาจจะสำคัญ แต่ถ้าสุดท้ายแล้วมันได้ครบตามเป้าหมาย ก็น่าจะจบในเรื่องนี้ และเป็นสิ่งที่ต้องรอดูจนกว่าจะปิดตลาดกันอีกที

อยู่กับสิ่งที่มีกันไปก่อน บนความเป็นจริงที่เกิดขึ้นซึ่งแฟนบอลควรต้องยอมรับให้ได้

ไม่ใช่ว่าเห็นปาราติชี่ปิดดีลบิสซูม่าได้แล้ว = แมนยูกาก

ดีลแฟรงกี้ที่โดนดึงเช็งและต่อรองราคากันอยู่ เป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับบิ๊กดีลที่มูลค่าเกือบร้อยล้านแบบนั้น แถมเป็นดีลสำคัญสุดที่ต้องพยายามเอามาให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก

กลับมาพูดต่อในเรื่องการดีลนักเตะ ด้านดีๆที่มีก็ยังพอจะเห็นอยู่ได้ง่ายๆ หากว่าติดตามรายละเอียดและกรองข่าวอย่างมีวิจารณญาณกันจริงๆ เคสที่ยูไนเต็ดยื่นข้อเสนอให้คริสเตียน อีริคเซ่น น่าจะเป็นคำตอบให้กับเหล่าคอมเม้นtoxicได้ว่า แมนยูไนเต็ดทำงานติดต่อนักเตะทีละคนแบบที่เขาเหล่านั้นเห็นมุมมอง negative กันอย่างเดียว เสมือนกับว่าการเชียร์แมนยูไนเต็ดมันมีแต่ความล้มเหลว มีแต่เรื่องแย่ๆเกิดขึ้น

เราเองอาจจะไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ แต่การที่สโมสรจะเฟื่องฟู แล้วตกต่ำหรือมีปัญหาบ้าง ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เราเองที่เสพความสำเร็จมาเยอะเกือบๆ30ปีของการเชียร์แมนยูไนเต็ดแล้วนั้น ไม่ได้มีปัญหาเลยกับการที่แมนยูตกเป็นมวยรองในยุคนี้

เชียร์มวยรองบ้าง เป็นฝ่ายไล่ล่าบ้าง มีaccidentเกิดขึ้นบ้างอย่างในซีซั่นที่แล้ว ไม่ใช่ปัญหา เพราะสุดท้ายเราก็ยังรักและเชียร์สโมสรแห่งนี้อยู่ดี

แต่กับแฟนๆที่จมไม่ลงมันไม่ใช่แบบนั้น

และความเป็นจริงคือ พวกเขาเหล่านั้นโดนสื่อ "ปั่น" กันสนุกสนาน ไม่ว่าจะเป็นสำนักข่าว รวมถึงผู้นำเสนอคอนเทนต์ต่างๆที่พยายามนำแมนยูไนเต็ดมาเหยียบย่ำเอามันส์ เอาสะใจเพื่อหายอดทำคอนเทนต์ไวรัลๆนั่นแหละ

(การอธิบายและสร้างทัศนคติที่ดีในเรื่องนี้ได้ยากมากๆกับแฟนบอลยุคปัจจุบัน ไม่ว่าเราจะเขียนอธิบายด้วยเหตุผลยังไง เขาก็เลือกที่จะเชื่อแบบนั้นไปแล้ว)

ข่าวจากรายอื่นๆที่มาเรื่อยๆอย่างเช่นเรื่องที่ว่า ทีมพยายามเซ็น Malcolm Ebiowei และตัวแทนนักเตะก็ต้องการผลักดันให้เกิดการย้ายเช่นกัน ส่วนทางด้านดีล "จูเรียน ทิมเบอร์" ตอนนี้ชะงักลงไปดื้อๆเนื่องจากตกลงเงื่อนไขส่วนตัวของนักเตะไม่ได้ แต่ยังไม่ได้ล้มดีล

มันก็ค่อนข้างชัดเจนว่าสโมสรก็พยายามทำงานหลังบ้านกันอยู่เต็มที่

การที่ "ไม่มีข่าว" ไม่มีรายงานซื้อขายออกมา สโมสรก็โดนด่า พอรายงานอย่างละเอียดทุกขั้นตอน ก็เป็นการ "ขายข่าว" กันอีก

สิ่งที่ต้องพยายามอธิบายเม้นเหล่านั้นตลอดคือ ข่าวที่ออกมา และการดำเนินงานเบื้องหลัง เราไม่สามารถรู้รายละเอียดที่ครบถ้วนได้แน่นอน และมันไม่มีทางทำงานกันอย่างที่พวกเขาคิดแน่ ในยามที่องค์กรใหญ่ขนาดนี้ กับการลงทุนเม็ดเงินหลักพันหลักหมื่นล้านบาท

มันไม่ใช่การเล่นขายของ หรือซื้อสินค้าราคาพันสองพันแต่อย่างใด

ฉะนั้นแล้ว อดทนรอคอยกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นต่อไป ผมเองก็ร้อนใจ และอยากให้มันสำเร็จให้จบๆโดยเร็วนั่นแหละ ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุผลในเรื่องระยะเวลาเพื่อให้ ETH ได้นักเตะใหม่มาเตรียมทีมไวๆ

ผมค่อนข้างเชื่อมั่นในตัวผู้จัดการทีมพอสมควร คนอย่างเทน ฮาก ยังไงก็คงจะวางเดดไลน์และแผนการเอาไว้แล้วว่า จะยอมให้มีการยื้อดีลถึงเมื่อไหร่ และตอนไหนคือช่วงเวลาที่ต้องปิดจ็อบให้ได้ เพื่อให้เขาได้ทำงานต่อในเฟสถัดไปของการเตรียมทีมปรีซีซั่น ที่ยังเหลือเวลาอยู่อีกเป็นอาทิตย์กว่าที่จะเริ่มต้นกลับมาฝึกซ้อมกัน

หลังจากวันแรกที่นักเตะเริ่มทยอยกลับมา ก็ยังมีเวลาอีกสองสามสัปดาห์เต็ม กว่าที่ปรีซีซั่นเกมแรกจะเกิด ถ้ามันช้ากว่านี้ ก็ยังถือว่าระยะเวลาหลังจาก 20-27 มิถุนายน ไปจนถึง 12 กรกฎาคม 2565 ที่ราชมังคลาฯ ก็ยังเป็น "บัฟเฟอร์" ให้กับการเตรียมทีมของเทน ฮาก อีกเยอะ ยังไม่รวมปรีซีซั่นเกมอื่นๆที่จะตามมาอีกเป็นหางว่าว และยังมีเวลาอีกพอสมควร

บางทีความอดทนของแฟนบอล กับความเข้าใจโลกของความเป็นจริง อาจจะเป็นสิ่งที่ต้องeducatedกันอีกมาก กว่าจะทำให้หลายฝ่ายเข้าใจตรงกันบนพื้นฐานของความเป็นจริงในการข่าวเหล่านี้

#BELIEVE

-ศาลาผี-

น้องพลับขอสามได้ไหม?

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด