:::     :::

ถึงเวลาเซ็ตระบบ "ช้างศึก" อย่างจริงจัง

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน 2565 คอลัมน์ ONE MAN SHOW โดย แมน โกสินทร์
603
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ช็อกไปตามๆ กันสำหรับคอบอลไทยที่ตามเชียร์ศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์ คัพ ครั้งที่ 48 เมื่อพลพรรค "ช้างศึก" ทีมชาติไทย พ่ายจุดโทษให้กับ "เสือเหลือง" มาเลเซีย" ไปด้วยสกอร์รวม 6-4 หลังจบ 90 นาที เสมอกัน 1-1

โดยเกม 90 นาที ทีมเยือนได้ประตูขึ้นนำก่อนในนาทีที่ 31 จากการยิง “ลาแวร์ คอร์บิน-ออง”

แต่ว่าช่วงทดเจ็บนาทีสุดท้ายของครึ่งหลัง “พรรษา เหมวิบูลย์” มาโขกประตูต่อชีวิตทีมอีกเฮือก

สุดท้ายก็ยื้อชีวิตไม่ไหว มาแพ้ในการดวลลูกจุดโทษ ทำให้ “ช้างศึก” ต้องไปลุ้นอันดับ 3 กับ ตรินิแดด แอนด์ โตเบโก้ ในวันที่ 25 กันยายน แทน 

เรียกว่างานนี้กร่อยไปตามๆ กันทั้งสาวกตัวจริงและขาจรที่ตามไปเชียร์ติดขอบสนาม   

เอาจริงๆ เกมนี้ขุนพล “ช้างศึก” เล่นได้ค่อนข้างผิดฟอร์ม และเล่นได้ไกลจากความคาดหวังของแฟนบอลไทยมากๆ 


ทั้งที่ก่อนยกพลมายัง จ.เชียงใหม่  “มาโน่ โพลกิ้ง” เฮดโค้ชได้ขุนพลตัวเอกมาร่วมทีมเกือบครบ ทั้ง ธีราทร บุญมาทัน, กฤษดา กาแมน, ชนาธิป สรงกระสินธ์, สุภโชค สารชาติ, ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา และ ศุภชัย ใจเด็ด 

ซึ่งหลายๆ คนฟอร์มการเล่นกำลังพุ่งปรี๊ดอีกต่างหาก ที่ขาดสอบไปมีแค่ ธีรศิลป์ แดงดา กับ สารัช อยู่เย็น ที่เป็นตัวหลักเท่านั้น แต่ตัวที่มีอยู่ถือว่าทดแทนได้สบาย 

แต่ “มาโน่” เกมนี้ดันจัดทัพแปลกๆ เมื่อเอา “สุภโชค” ที่ถนัดเล่นเกมริมเส้นฝั่งซ้ายไปเล่นฝั่งขวา แทนที่จะเป็นน้องชายอย่าง “แบงค์” ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา ที่ถูก “มาซาทาดะ อิชิอิ”​ กุนซือ “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” ตัดต่อพันธุกรรมให้แจ่มจรัสในตำแหน่งนี้ 


หรือจะเป็นกองกลางตัวรับที่ไร้ “สารัช อยู่เย็น” แต่ “กฤษดา กาแมน” ที่ฟอร์มร้อนระอุกับตำแหน่งนี้กลับถูกถอยไปยืนเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ

นี่ยังไม่นับรวม “ธีราทร บุญมาทัน” ที่โดนจับไปเล่นกองกลางไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งฟอร์มโดยรวมทั้งคู่น่าจะได้ออกสตาร์ทเป็น 11 ตัวจริงในตำแหน่งคู่กองกลางด้วยซ้ำ


เมื่อการจัดทัพของ “มาโน่” ไม่ได้ดูศักยภาพนักเตะและตำแหน่งที่ถนัดในปัจจุบันและอาการเจ็บของ “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ มาทักทายตั้งแต่ 14 นาทีแรก จนต้องปรับกระบวนทัพใหม่ ไม่แปลกที่พลพรรคนักเตะจากแดนสยามจะโดนลูกทีมของ “คิม พัน กอน” ต้อนเข้ามุม  

แถมยังโดนจังหวะรับและโต้กลับเร็ว หรือภาษาโค้ชเรียกว่า “TRANSITION PLAY”​ คอยโจมตีแนวรับจนเสียขบวน ส่วนบรรดาตัวรุกยังคอยบีบพื้นที่แดนบนกดดันไม่ให้ ไทย เล่นบิวด์อัพที่ถนัดง่ายๆ  

นอกจากนี้ยังบดขยี้ผู้เล่นด้วยความความหนักหน่วง ถึงลูกถึงคน แถมปิดเกมริมเส้นจนเป็นอัมพาต จนทำให้ครึ่งแรกเราเองแทบไม่มีโอกาสลุ้นทำประตูแบบจะแจ้ง

ครึ่งหลังแม้ “มาโน่” จะพยายามแก้เกม ซึ่งก็ทำได้ดีขึ้นเล็กน้อย น่าเสียดายจังหวะโหม่งของ “ศุภชัย” และจังหวะหลุดเดี่ยว 2 ครั้งของ “ศุภณัฏฐ์” ดันยิงไปติดเซฟผู้รักษาประตู มาเลเซีย 


ส่วนจังหวะตีเสมอ ต้องชม “สุมัญญา” ที่เปิดบอลแม่นและ “พรรษา” ก็ยืนอยู่ถูกที่ เรียกได้ว่าจังหวะลงตัวพอดี

ในช่วงยิงจุดโทษเสียดายที่ “สุภโชค” ดันยิงไปติดเซฟมือกาว “มาเลเซีย” จนทำให้ ไทย พ่าย มาเลเซีย ไปอย่างน่าเสียดาย 

การแพ้ในวันนี้อย่างน้อยมันสะท้อนให้เห็นแล้วว่า “ฟุตบอลโลก” รอบสุดท้าย มันยังไกลสำหรับเราเยอะ 

แต่สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลยคือการกลับไปเป็นเบอร์ 1 ของอาเซียนเป็นอันดับแรก


ตอนนี้หลายชาติเริ่มเน้นพัฒนา​ “ระบบ” การเล่นแบบเอาจริงเอาจังไล่ตั้งแต่ “เวียดนาม” มีทรงบอลของตัวเองชัดเจน ขณะที่ “อินโดนีเซีย” ของ “ชิน แท ยัง” และ “มาเลเซีย” ของ “คิม พัน กอน” เริ่มติดตั้งระบบการเล่นที่ชัดเจนให้ทีมของพวกเขาแล้ว

ไทย เองก็ควรที่จะหา “ระบบ” และ “ทรงบอล” ของตัวเองให้เจอ อย่าลืมว่าปัจจุบันต่อให้มีนักเตะดี แต่เมื่อระบบไม่เวิร์ก ยังใช้เน้นความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะอยู่ คงยากที่จะก้าวไปไกลกว่าย่านอาเซียน

ตอนนี้ทุกชาติขยับแบบจริงจังแล้ว ถ้าเรายังมัวช้า และคิดว่าข้าแน่ ระวังจะโดนเพื่อนบ้านแซงเอานะจะบอกให้ 

ถึงเวลาตื่นตัวกับการพัฒนาฟุตบอลทั้งระบบกันได้แล้ว ก่อนจะสายเกินไป 

บอกเลย อาเซียน เริ่มไม่มีหมูให้เคี้ยวง่ายๆ แล้วนะ


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด