"โค้ชหระ" เต็งจ๋ากุนซือ "ช้างศึกU23"
โดยสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้วางไทม์ไลน์จะมีการเปิดตัว “กุนซือ” ใหม่พร้อมด้วยทีมงานสต๊าฟฟ์โค้ชในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้
ซึ่งตัวเต็งคือ “โค้ชแบน” ธชตวัน ศรีปาน ผู้อำนวยการเทคนิคของสโมสร “ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด” กับ “โค้ชหระ” อิสสระ ศรีทะโร อดีตกุนซือทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี
โดยทั้งคู่เคยร่วมงานกันมาบ้างแล้ว สมัยที่้เป็นทีมงานสต๊าฟฟ์โค้ชของ “อากิระ นิชิโนะ” ในทัพ “ช้างศึก”
ตอนนี้เต็ง 1 กลายเป็น “โค้ชหระ” ที่มาแรง เพราะสถานะโสด ไร้สโมสรต้นสังกัด มีเพียงธุรกิจส่วนตัวในการทำอคาเดมี่ ตอนนี้อคาเดมี่ของ “โค้ชหระ” ลงตัวหมดแล้ว ทำให้สามารถรับงานและทำงานอื่นได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ขณะที่ “โค้ชแบน” ยังเหลือสัญญากับทีม “แข้งเทพ” จนจบฤดูกาลนี้ ทำให้ยากที่จะเข้ามาทำงานเต็มตัว ขณะที่ “บิ๊กขจร” ขจร เจียรวนนท์ เจ้าของสโมสรเองก็ประกาศลั่นทุ่งเองว่า “โค้ชแบน” ยังแฮปปี้กับสโมสรและยังไม่ต้องการโยกไปรับเผือกร้อนกับทีมชาติไทยตอนนี้
แต่ถ้าไม่ต่อสัญญาฉบับใหม่ อนาคตสถานการณ์อาจเปลี่ยนไป
นั่นทำให้ “โค้ชหระ” เองมีโอกาสสูงที่จะได้รับแต่งตั้งให้เป็น “กุนซือ” คนใหม่ของทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี มากกว่า “โค้ชแบน”
ซึ่งตอนนี้ สมาคมฯ และ “บิ๊กหยิม” ยุทธนา หยิมการุณ อุปนายกฝ่ายจัดการแข่งขัน ที่ถูกแต่งตั้งให้ดูแลทีมชุดนี้ ได้แต่งตั้งให้ “โค้ชหระ” คอยดูข้อมูลและหานักเตะที่อยู่ในข่าย เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเก็บตัวเข้าแคมป์ฝึกซ้อม ก่อนลุยศึกทัวร์นาเมนต์ต่างๆ ในปีหน้า
เมื่อดูคุณสมบัติของ “โค้ชหระ” เองก็ไม่ธรรมดา เพราะตรงตามสเป็กที่ตั้งไว้คือเป็นโค้ชระดับ “โปรไลเซนส์” เคยคุมทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี และเด็กหลายคนในชุดที่เกิดใน พ.ศ. 2544 เคยร่วมงานกับ “โค้ชหระ” มาแล้ว ทั้ง “ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว” หรือ “ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา” โดยทั้งคู่น่าจะเป็นคีย์แมนของทีมชุดนี้
แม้จะมีจุดด่างพร้อยในการพาทีมชุดนั้นตกรอบแรกชิงแชมป์อาเซียนและชุดแแชมป์เอเชีย รอบคัดเลือก แต่ฝีไม้ลายมือ ประสบการณ์ในอดีตคงเป็นบทเรียนให้ “โค้ชหระ” ไม่พาทีมพุ่งชนความล้มเหลวแบบนั้นอีก เห็นได้จากการพา “พีที ประจวบ” รอดตกชั้นเมื่อปีที่แล้ว
คาดว่าตอนนี้ทางสมาคมฯ เองคงดำเนินการเลือกทีมงานสต๊าฟฟ์โค้ชเข้ามาช่วย “โค้ชหระ” เพราะคนรู้ใจของเขาตอนนี้มีงานประจำหมดแล้วทั้ง “โค้ชสาม” ประสิทธิ์ น่วมศาลา” ที่เป็นโค้ชผู้รักษาประตูที่ “สงขลา เอฟซี” หรือจะเป็น “โค้ชต๋อย” ประสิทธิ์ เทาดี ที่เป็นผู้ช่วยผู้ฝึกสอน “ลีโอ เชียงราย ยูไนเต็ด”
หากได้ทีมงานครบถ้วนหลังการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ คงจะเริ่มงานกันเต็มที่ทันที
แต่สิ่งที่แอบเป็นห่วงไม่ใช่ฝีไม้ลายมือของ “โค้ชหระ” แต่กลายเป็นเรื่องสนับสนุนมากกว่า
ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยตัว “นักเตะ” มาเก็บตัวฝึกซ้อม เพราะอย่าลืมว่ามี 2 รายการใหญ่ ปีหน้าที่โปรแกรมอาจจะชนกับฟุตบอลลีก ทั้ง “ซีเกมส์” และ “เอเชียน เกมส์” ที่จะไม่ใช่โปรแกรมฟีฟ่า เดย์ สโมสรเองมีสิทธิ์ไม่ปล่อยนักเตะมาแข่งขัน
ตรงนี้ต้องมาดูการเตรียมทีม การเก็บตัวฝึกซ้อม การหานักเตะคนอื่นๆ มาเตรียมตัวเข้าแคมป์ฝึกซ้อมแต่เนิ่นๆ แน่นอนว่าสโมสรเองต้องให้ความร่วมมือตรงนี้ด้วย
นอกจากนี้แรงหนุนจาก “แฟนบอล” ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะทีมชุดนี้คือการสร้างทีมสู่การไปเล่น “โอลิมปิกเกมส์” ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ปี 2024
ซึ่งแน่นอนว่าระหว่างทางไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันระดับอาเซียน หรือเกมอุ่นเครื่อง น้องๆ อาจผลงานไม่ดี ตรงนี้ต้องเข้าใจตรงกันว่าเรามีเป้าหมายใหญ่กว่านั้น
ดังนั้นเราต้องสนับสนุน “โค้ช” และ “นักเตะ” อย่างเต็มที่ แต่ถ้าผลงานออกมาตรงกันข้าม ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้จะวิจารณ์หนักๆ ค่อยเอาให้เต็มที่แล้วกัน
เหนือสิ่งอื่นๆ ใด สมาคมฯ เองก็ต้องหนักแน่น เพราะทีมชุดนี้ต้องเจอแรงเสียดทานมหาศาลจากทุกทางแน่
หากมั่นใจในตัวโค้ชและทีมงานแล้ว ต้องไม่แคร์เสียงวิจารณ์และยึดมั่นในแนวทาง ไม่ใช่โดนพายุน้ำลายแล้วจะเปลี่ยนแม่ทัพกลางทางเช่นในอดีต แบบนั้นคงไม่ต่างจากการพ่ายเรือในอ่าง
เมื่อเลือกแล้วก็ต้องมั่นใจ จับมือไปด้วยกัน เพื่อเป้าหมายใหญ่ที่วางไว้ ตอนนี้ทางเลือกไม่มีแล้ว นอกจากทาง “ลุย” เท่านั้นครับ