เรียกว่าเซอร์ไพรส์คอลูกหนังไทยเลยทีเดียว เพราะ “โค้ชเทกุ” ถือเป็นกุนซือระดับแนวหน้าของญี่ปุ่น ผ่านประสบการณ์โชกโชนกับทีมชาติญี่ปุ่น เคยเป็นมือขวา “อากิระ นิชิโนะ” ในฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย 2018 ที่ประเทศรัสเซีย
ที่สำคัญผลงานฤดูกาลที่ผ่านมากับ “บีจี ปทุม ยูไนเต็ด” ถือว่าทำได้อย่างสุดยอด พาทีมจบรองแชมป์ไทยลีก
ต่อด้วยการดับ “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” พร้อมคว้าแชมป์ฟุตบอลไดกิ้น ไทยแลนด์แชมเปียนส์คัพ
จากนั้นพาทีม “เดอะ แรบบิท” ทะลุไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นครั้งแรกของสโมสรอีกด้วย
ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมที่สั่งสมไว้ คงไม่มีใครคาดคิดว่า “โค้ชเทกุ” จะกระเด็นตกเก้าอี้กุนซือเป็นคนแรกในศึกรีโว่ไทยลีก ฤดูกาลนี้
โดยเฉพาะตอนที่ทีมรั้งอันดับ 7 ของตารางคะแนน มีแต้มตามหลังจ่าฝูง “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” เพียงแค่ 7 แต้มเท่านั้น
ยังมีอีก 20 นัดข้างหน้าให้เก็บแต้ม เชื่อว่าหากทีมคืนฟอร์มเทพได้เร็ว โดยเฉพาะการแก้ไขฟอร์มนอกบ้านที่ไม่ชนะใครได้ โอกาสลุ้นแชมป์ยังเปิดกว้างอยู่
ทำให้นอกจาก “โค้ชโอ่ง” ดุสิต เฉลิมแสน แล้ว ยังไม่มีกุนซือคนไหนที่คุมทีมตั้งแต่ต้นฤดูกาล และทำหน้าที่จนจบฤดูกาลได้เลย
หลายคนตั้งประเด็นถึงสาเหตุการแยกทางกับ “โค้ชเทกุ” กับ “บีจี ปทุม ยูไนเต็ด” เกิดเพราะความ “ดื้อ” ของตัวกุนซือชาวญี่ปุ่นรายนี้หรือเปล่า
แต่จากแหล่งข่าวที่สอบถามมายืนยันว่า “โค้ชเทกุ” ไม่ได้ดื้อ แถมยังได้ใจนักเตะในทีม นักเตะในทีมศรัทธาในวิถีทางของเขา และมีความสนุกกับวิธีการฝึกซ้อมที่เขานำมาสอน
ส่วนเรื่องการว้ากหรือตะคอกใส่นักบอลนั้น ได้รับการยืนยันจากภายในทีมว่า "ไม่มี"
คือ “โค้ชเทกุ” ไม่เคยมีการตะคอกหรือตวาดนักเตะรุนแรงจนทำให้นักเตะคนไหนเกิดความไม่พอใจอย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องราวกับ “ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต้” ก็ต้องยอมรับว่า “ดิโอโก้” ไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุดและกำลังอยู่ในช่วงโรยราย เมื่อเขาโพสต์ข้อความที่ทำให้ทีมเสียสปิริตในทีม ย่อมถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่ “โค้ชเทกุ” จะหั่นเขาออกจากทีม
เอาจริงๆ ปีนี้ค่อนข้างน่าเห็นใจ “บีจี ปทุม ยูไนเต็ด” เพราะต้องกรำศึกหนักอย่างต่อเนื่องทั้งเกมลีกและฟุตบอลถ้วยสโมสรเอเชีย
ขณะที่นักเตะตัวหลักๆ นอกจากต้องเล่นให้สโมสร ยังมีโปรแกรมไปเล่นให้ทีมชาติไทย อย่างต่อเนื่อง
แถมแข้งตัวหลักหลายรายก็ได้รับบาดเจ็บ และฟอร์มตกลงไปพร้อมกัน ขณะที่นักเตะใหม่บางรายก็ยังปรับตัวกับทีมไม่ได้
จุดอ่อนที่เป็นปัญหาเรื้อรังโดยเฉพาะ “แบ็คซ้าย” ไม่ได้ถูกกำจัดทิ้งไป เมื่อปัญหาสาระพัดถาโถมเข้ามา จึงทำให้คนเป็น “กุนซือ” ต้องรับผิดชอบ
แต่น่าเสียดายที่บอร์ดบริหารของทีมใจร้อนไปหน่อย แน่นอนว่าการปลดกุนซือระดับอ๋องของวงการลูกหนังญี่ปุ่นแบบนี้ ย่อมทำให้ภาพลักษณ์และเครดิตฟุตบอลไทยหายไปไม่น้อย
โดยเฉพาะ “บีจี ปทุม ยูไนเต็ด” ที่กลายเป็นทีมจอมกินโค้ช เพราะนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรพวกเขาเปลี่ยนโค้ชมาแล้วถึง 15 ราย
ซึ่งอนาคตคงยากที่จะได้เห็นกุนซือมากฝีมือแบบนี้เข้ามาคุมทีมในประเทศไทย
เพราะหากระบบฟุตบอลไทยยังไม่มีความอดทนและให้โอกาสโค้ชได้ทำงานมากพอ ฟุตบอลไทยคงไปไกลกว่านี้ยากครับ
ส่วนอนาคตกุนซือคนใหม่ของ “บีจี ปทุม ยูไนเต็ด” จะเป็นชาวญี่ปุ่น หรือเปล่านั้น น่าติดตามเหลือเกิน
