ก็ไม่ได้ถือว่าเซอร์ไพรส์อะไรมากมายนักเพราะทั้งก็ถูกยกให้มีศักยภาพในการคว้าแชมป์ได้อยู่แล้ว ก็คงมีแค่ โมร็อกโก ที่ต้องบอกว่าทำผลงานได้เกินเป้าผ่านเข้ามาถึงรอบตัดเชือกได้

         ทีมของ ลิโอเนล สกาโลนี่ เปิดหัวแบบช็อกโลกด้วยการแพ้ ซาอุดิ อาระเบีย 1-2 แต่ก็ชนะ เม็กซิโก และ โปแลนด์ ด้วยสกอร์ 2-0 เข้าป้ายคว้าแชมป์กลุ่มซีมาครอง หลังจากนั้นก็ชนะ ออสเตรเลีย 2-1, เสมอ ฮอลแลนด์ 2-2 ก่อนดวลจุดโทษชนะ 4-3 และล่าสุดชนะ โครเอเชีย 3-0 เข้ามาถึงเกมชิงถ้วย

         ต้องบอกว่าผลงานในภาพรวมของ "ฟ้า-ขาว" อาจจะไม่ได้ร้อนแรงอะไรมากมายนัก แต่จุดที่สำคัญก็คือทีมสามารถทำประตูในทุกเกมในทัวร์นาเม้นต์ ซึ่งต้องยกนิ้วให้เลย

         ส่วนทาง ฝรั่งเศส ตีตั๋วเข้ารอบตั้งแต่ผ่าน 2 เกมแรกหลังชนะ ออสเตรเลีย 4-1 และชนะ เดนมาร์ก 2-1 ทำให้เกมสุดท้ายพวกเขาพักตัวหลักเกือบยกแผงและแพ้ ตูนิเซีย 0-1 แต่ก็เพียงพอต่อการเป็นแชมป์กลุ่มดี

         จากนั้นทีมชนะ โปแลนด์ 3-1 ในรอบ 16 ทีม, ชนะ อังกฤษ 2-1 ในรอบ 8 ทีม และชนะ โมร็อกโก 2-0 ในเกมตัดเชือกที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเกมแรกที่ทีมเก็บคลีนชีตได้ในทัวร์นาเม้นต์นี้ แต่ "ตราไก่" ก็ยังไปแล้ว 13 ลูกในทัวร์นาเม้นต์นี้ มากที่สุด

         แต่ว่า อาร์เจนติน่า ก็ตามมาติดๆด้วยการทำไปแล้ว 12 ลูกจาก 6 เกมที่ผ่านมา

         จุดที่น่าสนใจที่สุดสำหรับเกมชิงถ้วยหนีไม่พ้นการวัดกันระหว่าง ลิโอเนล เมสซี่ กับ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ สองดาวยิงตัวความหวังของทั้งสองทีม แม้ว่าสุดท้ายทั้งสองฝั่งจะออกมาพูดว่าเป็นเรื่องของทีมมากกว่าการสู้กันส่วนบุคคล

         โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฟุตบอลโลกหนนี้ที่ทั้งคู่ทำไปแล้วคนละ 5 ประตู นำเป็นดาวซัลโวคู่กันอยู่ในขณะนี้ แต่ เมสซี่ เหนือกว่าเล็กน้อยตรงมีแอสซิสต์ 3 ครั้ง ในขณะที่ เอ็มบั๊ปเป้ แอสซิสต์ไป 2 ครั้ง

         เรียกได้ว่าถือเป็นเวิลด์ คัพรอบชิงชนะเลิศที่น่าสนใจที่สุดที่มีกองหน้าของทั้งสองทีมที่ถูกจับมาวัดกันโดยตรงในรอบหลายครั้งที่ผ่านมาเลย

         เริ่มกันที่ เมสซี่ ในวัย 35 ปี ปัจจุบันลงเล่นในฟุตบอลโลกมาแล้ว 25 เกม ทำไป 11 ประตู เฉลี่ยที่ 119 นาทีต่อ 1 ประตู ทำไป 8 แอสซิสต์ สร้างโอกาสทำประตูมาถึง 72 ครั้ง สถิติดีที่สุดคือการเป็นรองแชมป์ย้อนกลับไปเมื่อปี 2014 ที่ทีมแพ้ เยอรมัน ในเกมชิงชนะเลิศ

         ฝั่ง เอ็มบั๊ปเป้ อายุ 23 ปี ลงเล่นไปแล้ว 13 เกม ทำไป 9 ประตู เฉลี่ย 112 นาทีต่อ 1 ประตู ทำไป 2 แอสซิสต์ สร้างโอกาสทำประตู 20 ครั้ง และได้แชมป์จากการแข่งขันเมื่อปี 2018

         เรียกได้ว่าสถิติของสตาร์ทีมชาติฝรั่งเศสไม่ได้เป็นรองเลย ยิงน้อยกว่าแค่ 2 ลูกทั้งที่ลงเล่นน้อยกว่าถึง 12 เกม เพียงแต่การสร้างสรรค์โอกาสให้เพื่อนและแอสซิสต์นั้นทาง เมสซี่ เหนือกว่าชัดเจน

         จะมองว่าบทบาทต่างกันก็อาจจะไม่ถึงขนาดนั้น เพื่อปัจจุบัน เมสซี่ ที่อายุมากกว่าถึง 12 ปี อาจจะไม่ได้ไปล้วงบอลแล้วลากเลื้อยไปเองมากเหมือนเมื่อก่อนแล้ว อาจจะมีบ้างอย่างที่เราเห็นในเกมกับ โครเอเชีย แต่เจ้าตัวก็มีการปรับบทบาทการเล่นไปเหมือนกัน

         ในขณะที่ เอ็มบั๊ปเป้ ประสบความสำเร็จแล้วไปจากการแข่งขันที่ รัสเซีย ทางฝั่งของ เมสซี่ ต้องการคว้าแชมป์ให้ได้ในครั้งนี้เพราะนี่เป็นการเล่นฟุตบอลโลกหนสุดท้ายของตัวเองแล้วจากการออกมาพูดก่อนหน้านี้ว่าคงอยู่ไม่ถึงปี 2026

         อย่างที่บอกว่าแม้จะถูกจับให้เป็นตัวชูโรงแต่นี้คือการดวลกันของทีมมากกว่าบุคคล ส่วนสุดท้ายใครจะไปถึงตำแหน่งสูงสุดรอติดตามกันวันอาทิตย์นี้