นี่คือฤดูกาลในฝันที่แฟนๆ เดอะ แม็กพายส์ กล้าพูดได้เต็มปาก ทั้งที่ยังไม่เปลี่ยนปฏิทินเข้าสู่ศักราชใหม่เลยด้วยซ้ำ
ครั้งสุดท้ายที่ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด บินสูงในพรีเมียร์ลีก ต้องย้อนกลับไปฤดูกาล 2011-12 ที่ อลัน พาร์ดิว พาทีมจบอันดับ 5 พรีเมียร์ลีก
คู่กองหน้าจากเซเนกัล เดมบา บา กับ ปาปิสส์ ซิสเซ่ เพลย์เมคเกอร์อินดี้ อาเต็ม เบน อาร์กฟา กองกลางจอมเตะลูกนิ่ง โยอัน กาบาย และเซนเตอร์แบ็กกัปตันทีม ฟาบริซิโอ โกลอชชินี่
และคนที่ได้รับเครดิตมากที่สุด พาร์ดิว ที่จบฤดูกาลด้วยสองรางวัลเกียรติยศ ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งซีซั่นของพรีเมียร์ลีก และผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมผู้จัดการทีมลีกอังกฤษ
แต่หลังจากนั้นไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป
พาร์ดิว ต้องพาทีมหนีตกชั้นอย่างหวุดหวิดซีซั่นต่อมา
สตีฟ แม็คคลาเรน ถูกเลือกคุมทีมซีซั่น 2015-16 เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของบอร์ดบริหารที่นำโดยเจ้าของทีม ไมค์ แอชลี่ย์ แม้เปลี่ยนมือมาเป็น ราฟาเอล เบนีเตซ แต่ก็ไม่รอดพ้นการตกชั้น
แม้ ราฟา พาทีมเลื่อนชั้นกลับขึ้นมาเพียงแค่ปีเดียว แต่ทรงบอลของ นิวคาสเซิ่ล กลายเป็นทีมที่เน้นเกมรับ และไม่สามารถต่อกรกับบรรดาทีมใหญ่ได้เลยยามเผชิญหน้ากัน
การเปลี่ยนแปลงจาก เบนีเตซ มาเป็น สตีฟ บรูซ กลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ของ นิวคาสเซิ่ล ในฤดูกาล 2019-20 ที่แฟนๆ ส่วนใหญ่ต่างไม่เห็นด้วยกันตั้งแต่แรกแล้ว แต่ไม่สามารถเปลี่ยนใจ แอชลี่ย์ ได้
นิวคาสเซิ่ล กลายเป็นทีมที่เล่นเกมรับหนักขึ้นกว่าเดิม มีปัญหาเรื่องการทำเกมรุก และการทำประตู ยิ่งเล่นยิ่งมองไม่เห็นอนาคต จนแฟนๆ เดอะ แม็กพายส์ กดดันขับไล่ทั้ง บรูซ และ แอชลี่ย์
สิ่งที่แฟนๆ สาลิกาดง วาดฝันเอาไว้กลายเป็นจริงในช่วงต้นซีซั่น 2021-22 พับลิก อินเวสต์เมนท์ ฟันด์ กลุ่มทุนจากซาอุดิอาราเบีย สามารถเทกโอเวอร์สโมสรเรียบร้อยในช่วงต้นเดือนตุลาคม
ให้หลังไม่กี่วัน ก็ตัดสินใจปลด บรูซ และเลือก เอ็ดดี้ ฮาว เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่
ฮาว เข้ามาในช่วงเวลาที่ทีมอยู่อันดับ 19 หรือรองบ๊วยของตาราง ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนทีมทีละน้อย บวกกับการเสริมทัพพอสมควรในเดือนมกราคม จนสามารถอยู่รอดปลอดภัยในพรีเมียร์ลีก แถมยังจบสูงถึงอันดับ 11
นี่คือสิ่งที่แฟนๆ นิวคาสเซิ่ล รอคอยมานานหลายปีแล้ว หลายคนมองอนาคต อยากเห็นทีมไม่ต้องหนีตกชั้นในทุกๆ ปีอีกต่อไป จากนั้นก็ยกระดับขึ้นมาลุ้นพื้นที่ยุโรป
นิวคาสเซิ่ล เสริมทัพแบบเนื้อๆ เน้นๆ จากเดือนมกราคมที่ได้ คีแรน ทริปเปียร์ 12 ล้านปอนด์, คริส วูด 25 ล้านปอนด์, บรูโน่ กีมาแรส 40 ล้านปอนด์, แดน เบิร์น 13 ล้านปอนด์
ช่วงซัมเมอร์จ่ายหนักขึ้น สเวน บ็อทมัน 35 ล้านปอนด์, อเล็กซานเดอร์ อีซัก 63 ล้านปอนด์, นิค โพ๊ป 10 ล้านปอนด์, แม็ตต์ ทาร์เก็ตต์ ซื้อขาด 15 ล้านปอนด์
การเสริมทัพบวกกับฝีมือและมันสมองของกุนซือ ฮาว ทำให้ นิวคาสเซิ่ล ก้าวขึ้นมาเกาะอันดับ 3 ในพรีเมียร์ลีกซีซั่น 2022-23 ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ก่อนพักเบรคฟุตบอลโลก 2022
ผลงานในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ นิวคาสเซิ่ล ยังเป็นทีมที่แพ้น้อยที่สุดเพียงเกมเดียวเท่ากันกับจ่าฝูง อาร์เซน่อล จากผลงาน 17 เกม ชนะ 10 เสมอ 6 แพ้ 1
และใน คาราบาว คัพ ก็กรุยทางเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ไปพบกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ในรัง เซนต์ เจมส์ พาร์ค
นอกจากให้เครดิตแก่ผู้จัดการทีม ฮาว แล้ว อีกส่วนหนึ่งยังเป็นเพราะฟอร์มการยิงประตูอันร้อนแรงของ มิเกล อัลมีรอน ที่มาถูกที่ถูกเวลา
อัลมีรอน ยิงไปแล้ว 9 ประตูเกิดขึ้นในเกมพรีเมียร์ลีกล้วนๆ เป็นตัวหลักในแนวรุก ไม่ว่าศูนย์หน้าตัวเป้าจะเป็น คัลลัม วิลสัน, อเล็กซานเดอร์ อีซัก หรือ คริส วูด ก็ตาม
ถึงตอนนี้ นิวคาสเซิ่ล ต่อยอดผลงานอันยอดเยี่ยม 9 เกมหลังสุดในพรีเมียร์ลีก ที่ชนะถึง 8 เกม โดย 1 เกมที่สะดุดเสมอ ก็เป็นหนึ่งแต้มล้ำค่าจาก โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ที่เกือบเสียประตูแพ้ในช่วงทดเจ็บนาทีสุดท้าย
อันที่จริง ซีซั่นนี้ นิวคาสเซิ่ล เกือบเป็นทีมที่ยังไม่แพ้ใครในทุกรายการด้วยซ้ำ เพราะเกมเดียวที่แพ้เกิดขึ้นที่ แอนฟิลด์ มาเสียประตูในช่วงทดเจ็บ 90+8 ทั้งที่มีการชูป้ายทดเวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น
นิวคาสเซิ่ล มีโอกาสต่อยอด ชนะเป็นเกมที่ 7 ติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก เพราะโปรแกรมถัดไปจะเปิดรัง เซนต์ เจมส์ พาร์ค รับมือ ลีดส์ ยูไนเต็ด วันที่ 31 ธันวาคม
เพื่อพกความมั่นใจเต็มร้อย ในการทำศึกใหญ่เยือนจ่าฝูง อาร์เซน่อล ที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม วันที่ 3 มกราคม
