:::     :::

ถอดแนวคิด อาร์เตต้า กับ 3 ปีที่คุม อาร์เซน่อล (2)

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
มาต่อกันในตอนที่ 2 ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายสำหรับบทสัมภาษณ์ของ มิเกล อาร์เตต้า ที่ได้เห็นแนวคิดในการทำงานชัดเจนมากขึ้น

ทั้งหมดล้วนเป็นเบื้องหลังสำคัญที่ทำให้ อาร์เซน่อล ทำผลงานได้ดีในช่วงครึ่งฤดูกาลที่ผ่านมา และกำลังพบความท้าทายมากยิ่งขึ้นในครึ่งฤดูกาลที่เหลือ 


การขยับให้ เบน ไวท์ ไปเล่นแบ็กขวา 

"ผมมีไอเดียนี้ตั้งแต่ปีก่อนแล้ว แต่ผมไม่คิดว่าเราจะมีคนมาแทนที่เขา (ในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ก) หากผมต้องการทำแบบนั้น ตอนที่ ซาลีบา มาถึงและผมก็ได้ติดตามพัฒนาการหลายอย่างของเขาในปีที่แล้วกับ มาร์กเซย ผมพูดว่าเราต้องปรับตัวและทันทีหลังจากนั้น ผมมีอยู่ในหัวว่าต้องการทำอะไร รวมถึง อเล็กซ์ (ซินเชนโก้) ด้วย วิธีนี้ผมสามารถจับเขาลงในตำแหน่งที่ผมอยากให้เขาอยู่ในทีมได้"  


∎ คุณภาพของ วิลเลี่ยม ซาลีบา 

"มันไม่ใช่ว่าเราขาดในจุดนี้นะ แต่เป็นคุณภาพที่เขานำมาสู่ทีม อย่างแรกสุดผมไม่ได้มองว่าผู้เล่นตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กเป็นเรื่องคนคนเดียว ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของการจับคู่กัน และพาร์ทเนอร์ต้องมีเคมีบางอย่างร่วมกันซึ่งคุณภาพของทั้งสองคนต้องส่งเสริมซึ่งกันและกันด้วย" 

"ตั้งแต่วันแรก ทั้งสองคน (ซาลีบา & กาเบรียล มากัลเญส) คลิกกันทันที บางครั้งคุณก็ไม่สามารถฟันธงได้ว่าต้องดึงนักเตะใหม่ในตลาดซื้อขายหรือใช้นักเตะที่กลับมาจากยืมตัว แต่เราโชคดีที่ทั้งคู่เข้ากันได้ลงตัว ส่วนสิ่งที่เขา (ซาลีบา) มีคือความแข็งแกร่งด้านร่างกาย ความเข้าใจเกม และความเยือกเย็น"

"ซาลีบา มีความสุขในการป้องกันพื้นที่ที่เปิดโล่ง เขามีความสุขที่จะป้องกันสถานการณ์ดวลตัวต่อตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณทำบอลเสียกลางสนาม และคู่แข่งสามารถโจมตีคุณได้ คุณมีเรื่องที่ต้องตัดสินใจ และเขาเก่งมากในการตัดสินใจเหล่านั้นในช่วงเสี้ยววินาที"


∎ การได้ ชินเซนโก้ เข้ามาเสริมทัพ

"อเล็กซ์ เข้ามาเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับเราเพราะเขาเคยเป็นกองกลางมาก่อน ตอนผมอยู่ที่ซิตี้ ตลอดอาชีพของเขาเล่นกองกลาง รวมถึงปีกด้วย และเราก็ปรับเปลี่ยนเขา ส่วนในฐานะฟูลแบ็ก"

"เขาเล่นได้สบายมากกับการขยับเข้าข้างในเพราะเขาทำแบบนั้นในทีมชาติอยู่แล้ว เขาขยับออกข้างนอกได้อย่างไร้ปัญหาด้วย"

"เขาทำให้คุณมีความหลากหลาย และทำให้คู่แข่งเจอกับความไม่แน่นอนในการรเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเล่น และสร้างความกังวลให้คู่แข่งที่ต้องมุ่งความสนใจที่เขาซึ่งนั่นเปิดโอกาสให้ผู้เล่นแนวรุกคนอื่นมีพื้นที่ว่าง"

 

∎ การปรับเปลี่ยนบทบาทของ กรานิต ชาคา 

"ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็น ผมคิดว่าทีมต้องการพัฒนาไปอีกขั้นและควบคุมเกมให้ได้มากขึ้น และมีทางเลือกมากขึ้นในพื้นที่สุดท้ายเพื่อที่จะได้โจมตีและยิงประตูให้ได้มากกว่าเดิม เราจำเป็นต้องเปลี่ยนแบบนั้น"

"ผมคุยกับเขาตอนจบฤดูกาลที่สองของผม ผมบอกไปว่า 'ต้องการปลดล็อกบางอย่างในสมองของคุณ เพราะคุณเล่นแบบสบายใจและมั่นใจในพื้นที่ตรงนี้จนคุณลืมไปแล้วว่าอะไรจะทำให้เราชนะ ตอนนี้ทีมต้องการใครสักคน ดังนั้นหากคุณไม่ปลดล็อก ผมคงต้องทำอะไรบางอย่าง"

"เขาเอาด้วยในทันที เขาเป็นนักเตะที่ฉลาดมากๆ เขากลับมาช่วงปรีซีซั่นด้วยสภาพร่างกายที่ฟิตสุดๆ และผอมเพรียวกว่าที่เคย เขารู้ว่าถ้าเราต้องการจะพาทีมไปสู่อีกระดับ เราจำเป็นต้องเปลี่ยนบทบาทเขาซึ่งเขารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขามีคุณภาพที่จะเล่นได้ และการที่เขาจะเล่นตรงนั้นได้ เขาก็ต้องการฟูลแบ็กขยับเข้าข้างในเพื่อที่เขาจะสามารถขยับขึ้นสูงกว่าเดิม และการเล่นร่วมกันแบบสามเหลี่ยมได้ผลดีขึ้นมากเมื่อเป็นแบบนั้น" 


"เราต้องการทำประตูให้ได้มากขึ้น ต้องการขยับเกมรุกขึ้นไปอีก แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องการเพิ่มคุณภาพที่เรามีในทีมให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น หากเราต้องการทำประตูมากขึ้น มาร์ติเนลลี่ ต้องเล่นในแนวสุดท้ายและต้องเล่นด้านกว้างเพราะเขามีคุณภาพแบบนั้น"

"ผมเชื่อมั่นการเล่นตรงนั้นของ มาร์ติเนลลี่ และการที่เขาได้บอลในหลากหลายสถานการณ์ก็จะช่วยเราได้เยอะมากกว่าการที่ต้องให้ฟูลแบ็กดันดันขึ้นสูงตลอดฤดูกาลโดยเฉพาะกับจำนวนเกมมากมายที่เราต้องลงเล่น นั่นคือการเปลี่ยนแปลงที่เราจำเป็นต้องทำ" 


 การเลือก มาร์ติน โอเดการ์ด เป็นกัปตันทีม 

"มันเป็นการตัดสินใจที่ยากโดยเฉพาะเมื่อย้อนดูกัปตันทีมของสโมสรในปีที่ผ่านๆ มา แต่เราจำเป็นต้องเลือกสักคนและเราต้องเลือกคนอยู่ท่ามกลางผู้นำคนอื่นๆ ที่มีทักษะอย่างเช่นที่ กรานิต หรือ กาเบรียล เชซุส มี หรือไม่ก็ ร็อบ (โฮลดิ้ง) มีในทีม" 

"แต่เราเชื่อว่าเขาเป็นตัวแทนที่ดีมากๆ กับจุดที่เราอยู่ในฐานะสโมสร สิ่งที่เรากำลังสร้าง และรูปแบบของคุณค่าที่เราพยายามเพิ่มขึ้นที่สโมสร มาร์ติน ไม่ใช่ผู้นำที่เสียงดังสุด แต่เขาเป็นผู้นำที่ทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง และเป็นคนที่ได้รับความเคารพมากๆ จากทุกคนในสโมสร"

 

∎ การศึกษากีฬาชนิดอื่นๆ 

"ผมชอบนะ ผมมีโอกาสอยู่ในกลุ่มที่มีการพูดคุยกันกับผู้จัดการทีมระดับท็อปทั้งจาก เอ็นเอฟแอล, เอ็นบีเอ, คริกเก็ต ออสเตรเลีย และบริษัทขนาดใหญ่ทั่วโลกเพื่อทำความเข้าใจในกระบวนการว่าทำไมพวกเขาถึงตัดสินใจต่างๆ ตัดสินใจอย่างไร วางแผนอย่างไร วิธีการรับมือกับความสำเร็จหรือความล้มเหลว และวิธีที่ชี้วัดความสำเร็จและความล้มเหลว"

"พวกเขาสำคัญกับผมมาก สำคัญมากจริงๆ ผมคิดว่าเราจำเป็นต้องเพิ่มพูนความรู้ให้ตัวเองอย่างต่อเนื่อง และมองหาชัยชนะอย่างรวดเร็ว มองหาสิ่งที่เราสามารถรวบรวมมาเป็นความรู้ได้จากวงการอื่นๆ เรามีโอกาสมากมายในทุกวันนี้ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่ในมือ และเราจะปล่อยให้หลุดมือไม่ได้" 


∎ ตัวชี้วัดความสำเร็จและล้มเหลวของในฤดูกาลนี้ 

"ผมภูมิใจในสิ่งที่เรากำลังทำ เราอยู่ในจุดที่ดี แต่เราต้องทำมันไปแบบวันต่อวัน สำหรับผมนั่นคือความลับ ทีมคือสิ่งที่เราทำในทุกวัน รักษาระดับมาตรฐานเอาไว้ แก้ไขจุดอ่อน และมีพลังงานที่เหมาะสม"

"ผมคิดว่าทีมคือลูกบอลพลังงานขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เวลานานมากๆ ในการขับเคลื่อน ช่วงเวลานานระหว่าง 10 เดือน และต้องใช้ทักษะมากมายในการจัดการ"

 

∎ ความตื่นเต้นที่ในครึ่งฤดูกาลหลัง  

"มันตื่นเต้น แต่ไม่ใช่แค่ความรู้สึกนะ แต่เป็นข้อเท็จจริงด้วยเช่นกัน มันมีสถิติที่ซัพพอร์ตว่าทีมน่าจะชนะในหลายเกมโดยเฉพาะในงานของผม ผมต้องการให้ทีมเล่นในแนวทางที่แน่นอน และงานของผมคือต้องเข้าใจว่าเราสมควรชนะหรือไม่ ยิ่งคงเส้นคงวามากเท่าไหร่ เรายิ่งจะชนะมากเท่านั้น"

"น่าเสียดายที่ในเกมฟุตบอล คุณมีโอกาสยิง 30 ครั้ง และโดนยิงครั้งเดียวแล้วก็แพ้ไปเลย 0-1 แต่ในระยะยาวคุณจะต้องไปอยู่จุดที่ควรอยู่ เรามีความมั่นใจว่าเราอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง แต่ขณะเดียวกันมันก็มีทั้งไฟแดง และสัญญาณเตือนภัยเพราะสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงที่เหลือของฤดูกาลเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ และเราต้องพร้อมสำหรับมัน" 

 

∎ โอกาสในฤดูกาลนี้ 

"มันเป็นสิ่งที่เราวางแผนเอาไว้และโฟกัสในวันนี้ โฟกัสเดียวที่เรามีคือวันนี้ สิ่งที่เราต้องทำในวันนี้ก็เพื่อผลต่อเนื่องไปถึงวันพรุ่งนี้ มันมีความตื่นเต้นอยู่ และเราควรโอบอุ้มโอกาสที่เรามีอยู่ข้างหน้า ในขณะเดียวกันก็ต้องเข้าใจด้วยว่าเราต้องทำเรื่องต่างๆ ให้ดีขึ้นซึ่งตอนนี้เรากำลังทำได้ดีจริงๆ อยู่แล้ว ประมาณนี้" 


∎ การสนับสนุนจากรอบข้าง

"คนที่สำคัญมากสุดคือภรรยาและครอบครัวผมเพราะเมื่อคุณได้เปิดใจ เปิดเผยความรู้สึก มันก็เป็นสิ่งที่คุณรู้สึกจริงๆ แล้วก็มีโค้ชและสตาฟฟ์ที่อยู่รอบๆ คุณ พวกเขาสำคัญ คุณรับรู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พวกเขารู้สึกอย่างไร ช่วยเหลือคุณได้อย่างไร"

"ส่วนที่สามคือสโมสรที่หนุนหลังคุณมีความเข้าใจในสถานการณ์ ต้องใช้อะไรเพื่อเดินหน้าจากจุดที่เราอยู่ไปถึงเป้าหมาย สิ่งที่ดีคือผมมีแผนชัดเจนมากๆ"

"ผมเขียนแผนเอาไว้ 5 ระยะสำหรับสโมสรนี้ เราอยู่จุดไหนเมื่อเทียบกับทีมอื่นๆ ไทม์ไลน์และทุกอย่างที่ต้องทำในแต่ละระยะซึ่งตอนนี้เรารุดหน้าไปมากกว่าแผนที่วางเอาไว้"


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด