อาทิ การใช้แผงหลัง 3 คน พร้อมกับให้ "ซีโฟร์"คคนะ คำยก ห้องเครื่องหนุ่มยวัย 19 ปี ออกสตาร์ทเป็น 11 ผู้เล่นตัวจริง เพื่อมาเป็นกองกลางผนึกกำลังร่วมกับ วีระเทพ ป้อมพันธุ์ และอีกคนคือ พิชา อุทรา ที่ก้าวขึ้นมาสวมปลอกแขนเป็นกัปตันของ เมืองทอง ยูไนเต็ด แบบเต็มตัวไปเรียบร้อย
ในตอนแรกการกลับมาของ ทริสตอง โด ทุกคนต่างมองว่า ด้วยประสบการณ์และวัยวุฒิที่เพิ่มขึ้นของแบ็คขวาลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส ซึ่งเคยอยู่กับ “กิเลนผยอง” และสวมปลอกแขนนี้มาก่อนเมื่อปี 2018 ก่อนที่ซีซั่น 2019 จะย้ายไปอยู่กับ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด นานถึง 4 ปีเต็ม
อีกทั้งด้วยแพชชั่นของดาวเตะที่เล่นดีทั้งเกมรุกและเกมรับ ซึ่งครองใจสาวก เมืองทอง ยูไนเต็ด ไม่น้อย ถึงกระนั้น “โค้ชมาริโอ” ก็ยังคงเลือก “เคน” พิชา อุทรา ให้เป็นสวมปลอกแขนคนแรกในฤดูกาลนี้ ซึ่งในวัย 27 ปี เขามีความพร้อมทั้งเรื่องความสามารถที่คนในทีมให้การยอมรับ ที่สำคัญคือบุคลิกภาพที่มีความสุขุมสงบเยือกเย็นในทุกสถานการณ์ และมีสายเลือด DNA ของทีมอยู่อย่างเปี่ยมล้น
อย่างที่คงทราบกันว่า พิชา คือผลผลิตที่มาจาก อคาเดมี ของ เมืองทอง ยูไนเต็ด โดยไต่เต้ามาจาก JMG Academy ในรุ่นเดียวกับ พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล, ชัยวัฒน์ บุราญ, สุพร ปีนะกาตาโพธิ์ แต่ในสมัยเยาวชนเขายังไม่สามารถสอดแทรกขึ้นมาสู่ชุดใหญ่ได้
เขาและพ้องเพื่อน JMG เคยได้รับโอกาสบินไปฝึกศาสตร์ลูกหนังถึงประเทศสเปน กับสโมสรแอตเลติโก มาดริด เป็นเวลา 6 เดือน เมื่อปี 2012 ตลอดจนพาทีมยู-19 คว้าแชมป์ โค้ก คัพ สมัยแรก ในปี 2014 พร้อมกับซิวรางวัลดาวซัลโว พ่วงผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ได้อีกด้วย และเป็นหนึ่งในขุนพลชุดป้องกันแชมป์ โค้ก คัพ ปี 2015
ทว่าเส้นทางการขึ้นชุดใหญ่ที่เต็มไปด้วยสตาร์ดังๆ ทำให้ทีมต้องตัดสินใจปล่อยไปให้ นครนายก เอฟซี ได้ใช้งาน ในรูปแบบการยืมตัว พร้อมกับเพื่อนๆ อีกหลายคน กระทั่งแจ้งเกิดกับ พัทยา ยูไนเต็ด หรือ สมุทรปราการ ซิตี้ ในปัจจุบัน ผลงานคงเส้นคงวาจนถูก "เขี้ยวสมุทร" ซื้อขาดไปร่วมทีม นอกจากนี้ ยังเคยติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ ในยุคของ ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย มาแล้ว ในบทบาทผู้เล่นริมเส้นจอมลากเลื้อย
กระทั่งปี 2020 ท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 สมุทรปราการ ซิตี้ ประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก จึงต้องยอมปล่อย พิชา อุทรา พร้อมกับ ภูมินทร แก้วตา กลับมาสู่อ้อมอกของ เมืองทอง ยูไนเต็ด อีกครั้ง โดยตอนนั้นทีมอยู่ในยุคของ อเล็กซานเดร กามา ที่ยังคงกุมบังเหียน
จากวันนั้นถึงวันนี้ 3 ปีเต็มๆ แล้วที่เขาอยู่กับทีมในฐานะมิดฟิลด์ตัวรับสไตล์ฮาร์ดแมน แบบที่แทบไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะไปได้สวยในบทบาทนี้ ในยุคการคุมทีมของ มาริโอ ยูรอฟสกี้ ซึ่งทุกวันนี้เขาก็ยังคงพิสูจน์ตัวเองในสนาม ทั้งการซ้อมและการแข่งขันอยู่เสมอ แม้จะเป็นคนเงียบๆ แต่ถ้าเหยียบฟลอร์หญ้าเมื่อไร เขาจะกลายเป็นคนที่ทุ่มเทแบบเกิน 100 เปอร์เซ็นต์ ให้กับต้นสังกัด
อีกหนึ่งข้อดีที่ต้องชื่นชมคือมีเรื่องการดูแลตัวเอง อย่างเช่นระหว่างพรีซีซั่น “โค้ชมาริโอ” จะไม่มีการบอกล่วงหน้าว่าเซสชั่นเช้าจะให้ซ้อมอะไรบ้าง เพื่อทดสอบว่าบรรดานักเตะในทีมพักผ่อนกันมาเพียงพอหรือไม่ ก่อนที่จะเฉลยหน้างานว่า เช้านี้จะมีการเทสต์ระบบหายใจ (คาร์ดิโอ เทสต์)
ซึ่งนั่นไม่ใช่การคาร์ดิโอ เทสต์แบบธรรมดาทว่าเป็นแบบ HIIT (High intensity interval training) ที่มีความเข้มข้นสูง โดยจะให้นักเตะวิ่งเทสต์หลายรอบสลับทั้งการวิ่งสปีดและวิ่งเหยาะๆ ซึ่ง “กัปตันเคน” สามารถทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม จนประทับใจทีมงานสตาฟฟ์อย่างมาก ตลอดจนการเป็นรุ่นพี่ที่คอยให้คำปรึกษารุ่นน้องได้แบบเป็นกันเอง และมีจิตวิทยาในการพูดที่ดี เมื่อหลายอย่างมาประกอบกัน ปลอกแขนของ “กิเลนผยอง” จึงตกอยู่ที่เขา
นับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เพราะในอดีตๆมีรุ่นพี่มากมาย ที่เคยสวมปลอกแขนนี้ ทั้ง เจษฏา จิตสวัสดิ์, ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์, พิชิตพงษ์ เฉยฉิว, ดัสกร ทองเหลา, ธีรศิลป์ แดงดา, กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ และอีกหลายคน ที่เคยเป็นตำนานของสโมสรแห่งนี้
เชื่อว่าเขาเองก็คงจะภูมิใจไม่น้อย ที่ได้รับบท “กัปตัน” มาตั้งแต่ปลายฤดูกาลที่แล้ว ต่อเนื่องมาถึงซีซั่นนี้ที่ มาริโอ ยูรอฟสกี้ ก็ยังไว้ใจให้เขารับบทบาท “ผู้นำ” ของทีม เพื่อทำศึกหนักที่กำลังรออยู่ ในการเผชิญหน้ากับคู่แข่ง
พร้อมกับเป้าหมายเร่งด่วนคือการคว้าชัยนัดแรกมาฝากแฟนบอลให้ได้โดยเร็วที่สุด
