รวมถึงทีมชุดเล็กทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ของ “โค้ชหระ” อิสสระ ศรีทะโร ในฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี รอบคัดเลือก
แน่นอนว่ากระแสฟุตบอลคิงส์คัพยังได้รับความสนใจจากแฟนบอลเจ้าถิ่นอย่างล้นหลาม ชนิดที่เปิดขายบัตรเข้าชมเกมไม่ถึงนาทีก็หมดเกลี้ยง
นอกจากนี้ตั๋วผียังกระโดดจากหลักร้อยบาทไปแตะหลักพันบาทเรียบร้อยแล้ว เอาเป็นว่าฝากถึงแฟนบอลอย่าไปสนับสนุนตั๋วผีนะครับ ถ้าไปชมติดขอบสนามไม่ได้ก็ดูสดทาง AIS PLAY หรือ ไทยรัฐทีวี ช่อง 32 ดีกว่า
โดยคู่ต่อกรยกแรกของพลพรรค “ช้างศึก” ถือว่าแข็งไม่น้อยคือ “เลบานอน” ทีมอันดับ 100 ของโลก นำทัพโดย ฮัสซัน มาตุค ที่เคยยิง 3 ประตูจาก 2 นัด พา เลบานอน เอาชนะ ทีมชาติไทย หมดรูป 5-2 ทั้ง 2 เกมในฟุตบอลเอเชียนคัพ 2015 รอบคัดเลือก ในปี 2013-2014
นอกจากนี้ยังมี ดาเนียล ลาจู๊ด ที่ค้าแข้งกับสโมสร แอตแลนเต้ ในเม็กซิโก ซุนนี่ ซาอัด อดีตดาวเตะ พีที ประจวบ ที่ปัจจุบันเล่นให้ ปีนัง เอฟซี ในมาเลเซียซูเปอร์ลีก รวมไปถึง บาสเซล จราดี้ จอมทัพป้ายแดงที่เพิ่งย้ายมาร่วมทีม “แข้งเทพ” ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด บิ๊กทีมในศึกฟุตบอลรีโว่ไทยลีก
ผลงานการเจอกันในช่วงหลังระหว่าง ไทย กับ เลบานอน ต้องยอมรับว่าสูสีกันไม่น้อย เพราะ 5 ครั้งที่วัดแข้งกัน แบ่งกันชนะทีมละ 2 ครั้ง และ เสมอ 1 ครั้ง
ครั้งล่าสุดที่เจอกันในศึกเอเชียนคัพ 2015 รอบคัดเลือก กลุ่ม บี เลกสอง เมื่อปี 2014 หรือ 9 ปีที่แล้ว ไทย แพ้ 2-5 แน่นอนว่าความทรงจำในวันวานมันไม่หวานเอาซะเลย
นักเตะที่เหลือจากชุดนั้นที่พร้อมลุยศึกคิงส์คัพครั้งนี้นำโดย “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา, ฉัตรชัย บุตรพรม, ธีราทร บุญมาทัน, ปกเกล้า อนันต์, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ และ พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา
โดย ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ เป็นนักเตะชุดนี้ที่ยิงประตู เลบานอน ได้มากที่สุด 2 ประตู ซึ่งเกิดขึ้นในเกมเลกแรกของศึกเอเชียนคัพ 2015 รอบคัดเลือก กลุ่ม บี ซึ่งไทย บุกไปแพ้ 5-2 เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2013
ภาพรวมของทีมแม้จะไม่มี “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ ที่เจ็บ และ “บุ๊ก” เอกนิษฐ์ ปัญญา กองกลางที่ติดภารกิจปรับตัวกับ อูราวะ เรด ไดม่อนส์ ต้นสังกัดใหม่ในเจลีก หรือนักเตะจาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อย่าง ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน, นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม, พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี และ ศศลักษณ์ ไหประโคน แต่คนอื่นๆ ก็ยังถือว่าแน่นปึ๊กทุกตำแหน่ง
ส่วนน้องเล็กอย่างทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ตอนนี้แม้จะดูเงียบๆ แต่ “โค้ชหระ” อิสสระ ศรีทะโร เฮดโค้ชอยู่ในสถานการณ์ที่กดดันเช่นเดียวกัน
โดยเฉพาะภารกิจผ่านเข้ารอบสุดท้ายศึกฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ที่กาตาร์ในปีหน้า เพื่อต่อยอดไปล่าตั๋วไปลุยโอลิมปิกเกมส์ ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในปีเดียวกัน ซึ่งทวีปเอเชียได้โควต้า 3.5 ทีม คือ อันดับ 1-3 ได้ไปร่วมแข่งขันมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติที่แดนน้ำหอมแน่นอน ส่วนอันดับ 4 ต้องไปออกแรงเพลย์ออฟอีกที
เมื่อดูจากรายชื่อเพื่อนร่วมสายเอชไม่ว่าจะเป็น ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย และ บังคลาเทศ บอกเลยว่าไม่เหนือบ่ากว่าแรงที่ ไทย จะคว้าแชมป์กลุ่ม ตีตั๋วผ่านเข้ารอบสุดท้ายแบบอัตโนมัติ
แม้จะขาดนักเตะตัวเก่งอย่าง โจนาธาร เข็มดี แนวรับจาก ราชบุรี ที่ประกาศเลิกเล่นทีมชาติ หรือ ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา กองหน้าที่เตรียมตัวเดินทางไป โอเอช ลูเวิน ก็ตาม
แต่ตัวหลักอย่าง ทรงชัย ทองฉ่ำ, ชนภัช บัวพันธ์, ฉัตรมงคล เรืองฐนโรจน์, อิรฟาน ดอเลาะ, ปุรเชษฐ์ ทอดสนิท, ลีออน เจมส์, ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว, เศรษฐสิทธิ์ สุวรรณเศรษฐ์, ยศกร บูรพา, อนันต์ ยอดสังวาลย์ และ ธีรศักดิ์ เผยพิมาย ยังอยู่กันครบ แถมทัวร์นาเมนต์นี้ได้เล่นในบ้านของตัวเอง จ.ชลบุรี เรียกว่าได้เปรียบทุกด้าน
หากพลาดเป็นรองแชมป์กลุ่มอาจต้องลุ้นเหนื่อยในการเป็น 1 ใน 4 ทีมอันดับ 2 ที่ดีที่สุด แน่นอนว่าเมื่อไปถึงตรงนั้นโอกาสจะพลาดตั๋วไปเล่นรอบสุดท้ายก็มีไม่น้อยเช่นกัน
เอาเป็นว่าเป้าหมายของไทยไม่มีอย่างอื่นนอกจาก “ชนะ” และก้าวเป็นแชมป์ทั้ง 2 รายการเท่านั้น เพราะเวลาลองทีมและทดสอบระบบของ มาโน โพลกิ้ง และ อิสสระ ศรีทะโร มีมากพอแล้ว
ดังนั้นทั้ง 2 ทัวร์นาเมนต์จึงไม่มีคำแก้ตัวใดๆ อีกแล้ว สำหรับ “ช้างศึก” ทั้ง 2 ชุด
