:::     :::

ทะลักจุดเดือดที่เซนต์ เจมส์ ปาร์ค

วันอาทิตย์ที่ 05 พฤศจิกายน 2566 คอลัมน์ โรงเตี๊ยมลูกหนัง โดย ทอมมี่ ท่ามะกา
568
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
หนึ่งในแมตช์ที่เดือดดาลและดราม่าที่สุดของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ย่อมต้องมีการเจอกันระหว่าง นิวคาสเซิ่ล กับ อาร์เซน่อล ที่เซนต์ เจมส์ ปาร์ค รวมอยู่ด้วย

นิวคาสเซิ่ล เฉือนชนะ อาร์เซน่อล ไปได้ 1-0 แต่มีเหตุการณ์ "เดือด" และ "ดราม่า" ให้ต้องตามเก็บตกกันเพียบโดยเฉพาะการทำหน้าที่ของทีมงานผู้ตัดสิน

ไล่ตั้งแต่ประตูชัยของทัพสาลิกาที่ "วีเออาร์" ต้องเช็กถึงสามจังหวะต่อเนื่องกันว่ามีอะไรเข้าข่ายจะต้องริบประตูคืนหรือไม่

จังหวะแรก โจ วิลล็อค ตัวสำรองนิวคาสเซิ่ลที่เป็นเด็กเก่าอาร์เซน่อล ตามไปเก็บบอลบริเวณมุมธง จากภาพช้าและมุมกล้องที่เห็นมันก่ำกึ่งว่าลูกบอลออกเส้นไปแล้วหรือยัง แต่วีเออาร์บอกว่าไม่ออก ตามกติกาต้องออกทั้งใบ 

จังหวะต่อมา โชเอลินตอน กระโดดขึ้นโหม่งและใช้มือทั้งสองข้างดันบริเวณท้ายทายของ กาเบรียล มากัลเญส ที่อยู่ข้างหน้าตัวเอง แนวรับปืนใหญ่จึงโหม่งไม่โดนบอล ทำให้บอลตกโดนตัว โชเอลินตอน แล้วเด้งเข้าทาง แอนโธนี่ กอร์ดอน ได้ตวัดจ่อๆ เข้าไป

สจ๊วร์ต แอ็ตเวลล์ ผู้ตัดสินในสนามมองว่าไม่เป็นการฟาวล์ ทีมงานวีเออาร์ก็ตัดสินออกมาทิศทางเดียวกัน 

และจังหวะสุดท้าย  แอนโธนี่ กอร์ดอน ล้ำหน้าหรือไม่ในจังหวะที่บอลโดนตัว โชเอลินตอน ก่อนเด้งมาหาตัวเองซึ่งวีเออาร์ชี้ขาดว่าไม่ล้ำ 

ประตูนี้ใช้เวลาทั้งหมด "4 นาที 6 วินาที" ในการเช็กวีเออาร์เพื่อความแน่ใจ ก่อนชี้ขาดให้ "ผ่าน" ทั้งสามเหตุการณ์ และยืนยันเป็นประตูของ นิวคาสเซิ่ล


วีเออาร์ใช้เวลาอยู่นานในการตัดสินประตูชัย

วีเออาร์ใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่การตัดสินออกมาก็ยังไม่ได้ "เคลียร์" เพราะไม่มีมุมกล้องหรือการตีเส้นที่เห็นได้ชัดเจนทั้งในจังหวะแรกที่ลูกบอลยังอยู่ในสนามหรือไม่ และจังหวะสุดท้ายที่ไม่เห็นว่าบอลโดน โชเอลินตอน ตอนไหน ยังไง บอลอาจแฉลบแขน อาจโดนหน้าอก หรืออาจโดนต้นขา จะวัดจากตรงไหนในการหาจุดหรือหยุดภาพเพื่อตีเส้นเปรียบเทียบกับตำแหน่งของ กอร์ดอน ว่าล้ำหน้าหรือไม่ ไม่มีมุมกล้องที่วีเออาร์นำมาประกอบการพิจารณาได้

เดอร์ม็อต กัลลาเกอร์ อดีตผู้ตัดสินพรีเมียร์ลีกมองว่านี่คือสองจังหวะที่ทีมงานวีเออาร์ไม่สามารถระบุแบบ "เป๊ะๆ" ได้เพราะไม่มีมุมกล้องที่ดีกว่านี้่ที่มีอยู่ ดังนั้นก็เลยต้องตัดสินไปตามผู้ตัดสินในสนาม 

ส่วนจังหวะขึ้นโหม่งของ โชเอลินตอน กับ กาเบรียล นั้น กัลลาเกอร์ วิเคราะห์ว่า วีเออาร์ ไม่สามารถหาหลักฐานที่มีน้ำหนักมากว่ามาแย้ง แอ็ตเวลล์ ว่าเป็นการฟาวล์แน่นอน 

จังหวะแรกที่ลูกบอลออกเส้นหลังไปแล้วหรือไม่ และจังหวะสุดท้ายที่ล้ำหน้าหรือไม่ เป็นสองจังหวะที่มองได้ยากเพราะไม่มีมุมกล้องที่ชัดเจนจริงๆ ก็เลยต้องยกประโยชน์ให้ฝ่ายที่ได้ประตูไปเพราะหลักฐานไม่ครบ

แต่จังหวะของ โชเอลินตอน ที่ผลัก กาเบรียล มันค่อนข้างชัดว่ามีส่วนในการทำให้คู่แข่งเสียจังหวะในการเล่น มือสองข้างของกองกลางสาลิกาดันออกไปข้างหน้าซึ่งไม่ใช่ท่าทางของการกระโดดขึ้นโหม่ง โอกาสที่จะเป็นการ "ฟาวล์" มีมากกว่า "ไม่ฟาวล์"  


มิเกล อาร์เตต้า หัวเสียอย่างมากกับการทำหน้าที่ของผู้ตัดสิน เขาไม่เคยเดือดขนาดนี้มาก่อนตลอดเวลาเกือบสี่ปีที่คุม อาร์เซน่อล

"ผมรู้สึกอับอายนะ ผมอยู่ในประเทศนี้มามากกว่า 20 ปี และนี่ไม่ได้ใกล้เคียงเลยกับที่บอกกันว่าลีกนี้ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก"

"มันไม่เป็นประตูอย่างแน่นอนด้วยหลายเหตุผล มากกว่าหนึ่งเหตุผลด้วย ไม่ใช่เลย มันน่าขายหน้าสุดๆ ผมไม่อยากเชื่อเลย"

"ผมต้องออกมาปกป้องสโมสรและเรียกร้องความช่วยเหลือ มันน่าละอายอย่างยิ่งที่ยินยอมให้เป็นประตู น่าละอายสุดๆ" อาร์เตต้า สับแหลกหลังเกม

นอกจากนี้ก็มีอีกหลายจังหวะระหว่างเกมที่มีการฟาวล์หนักๆ และนอกเกมใส่กัน ทว่ากลับรอดพ้นจากการถูกลงโทษ 

เหตุการณ์แรกๆ ที่เป็นชนวนนำไปสู่ความเดือดในเกมนี้คือ ไค ฮาแวร์ตซ์ เข้าบอลหนักพุ่งใส่ ฌอน ลองสตาฟฟ์ จนนักเตะเจ้าถิ่นกรูเข้ามาเอาเรื่องว่าต้องใบแดงเท่านั้นหลังจากผู้ตัดสินชักให้เพียงใบเหลือง จังหวะนี้ผู้เล่นสาลิกาโดนใบเหลืองเรียงกัน 3 รายหลังโวยวายไม่หยุด 

ฮาแวร์ตซ์ เข้าบอลอันตรายและสมควรได้เหลือง หรือหากถึงแดงก็พอเข้าใจได้เพราะเคยมีจังหวะแบบนี้ให้เห็นบ่อยครั้ง แต่นักเตะนิวคาสเซิ่ลเองก็เล่นหนักเล่นนอกเกมไม่แพ้กัน ทว่ากลับลอยนวลโดยเฉพาะ บรูโน่ กิมาไรส์ 

กองกลางทีมชาติบราซิลไม่โดนเหลืองเลยทั้งจังหวะจงใจวิ่งเอาศอกสับใส่ จอร์จินโญ่ ต่อด้วยเตะบอลอัด ไค ฮาแวร์ตซ์ และเล่นงาน จอร์จินโญ่ อีกครั้งด้วยการวิ่งกระแทกจากด้านหลังจนกองกลางปืนโตล้มกลิ้ง กว่าจะมาโดนเหลืองก็ปาเข้าไปในนาที 88 ที่ผลักหน้า ฟาบิโอ วิเอร่า ล้มอีกราย


กิมาไรส์ เล่นงานคู่แข่งหลายครั้งแต่ลอยนวลตลอด

นี่คืออีกจุดอ่อนของการทำหน้าที่ผู้ตัดสินที่ไม่รู้จักตัดไฟแต่ต้นลมและปล่อยให้มีการเล่นเกินกว่าเหตุเกิดขึ้นซ้ำซากในสนาม นักเตะที่ติดนิสัยเถื่อนถ่อยบางคนถึงได้ย่ามใจกล้าเล่นงานคู่แข่ง

ผู้ตัดสินมีเทคโนโลยีเต็มมือ สามารถเช็กเหตุการณ์ย้อนหลังได้ มีอำนาจในมือในการควบคุมนักเตะ แต่กลับไม่ใช้อำนาจที่มีให้เห็นประโยชน์ หรือพอจะใช้ก็ใช้ในทางที่ผิด ตัดสินมั่วซั่ว ไม่มีมาตรฐาน และถูกวิจารณ์สัปดาห์แล้วสัปดาห์แล้ว 

ถ้าว่ากันถึงการเล่นที่เป็นการเล่นฟุตบอลจริงๆ อาร์เซน่อล ทำเต็มที่ ทุ่มเทสุดชีวิต ทำทุกสิ่งทุกอย่างอย่างสุดความสามารถเพื่อเอาชนะให้ได้ 

มิเกล อาร์เตต้า และแฟนบอลเห็นอยู่แล้วว่าว่าเกมนี้ปืนใหญ่สู้กันทุกคน พยายามเอาชนะด้วยการเล่นฟุตบอลที่ตัวเองตั้งใจ บางช่วงบางเวลาขึงเกมใส่จนได้ครองบอลถึง 95 เปอร์เซ็นต์ (นาที 67-77) ได้เตะมุมอยู่ฝ่ายเดียว 11 ครั้ง เพียงแต่จังหวะจบสกอร์ยังไม่เฉียบขาดมากนัก

จังหวะสุดท้ายคือสิ่งที่ อาร์เซน่อล ต้องปรับซึ่งเหมือนเกมเจอ เวสต์แฮม ในศึกคาราบาว คัพ ที่ก็มีโอกาสพอสมควรทว่าทำไม่ได้และพ่ายตกรอบไป อาร์เตต้า รู้ตัวว่านี่คือสิ่งที่ลูกทีมตัวเองต้องปรับ

แต่ปัจจัยอีกอย่างที่ไม่ได้อยู่ในการควบคุมอย่างการชี้ขาดของผู้ตัดสินก็มีผลต่อเกมการเล่นอย่างมาก นิวคาสเซิ่ล ได้ชัยชนะที่ทำให้เกาะกลุ่มนำไม่ห่าง ส่วน อาร์เซน่อล แพ้เป็นนัดแรกในฤดูกาลนี้ 

อาร์เซน่อล ควรได้ผลการแข่งขันที่ดีกว่าจากสิ่งที่นักเตะทุกคนทุ่มเทลงไปในสนาม ไม่ใช่ต้องมาผิดหวังและหงุดหงิดกับการทำหน้าที่ที่ไร้มาตรฐานของคนที่มีอำนาจอยู่ในมือ


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด