:::     :::

เจาะลึกความรู้สึก "คริสเตียโน่ โรนัลโด้"

วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม 2560 คอลัมน์ Zero to Hero โดย บังคุง
15,236
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ปฏิเสธไม่ได้ว่า "คริสเตียโน่ โรนัลโด้" คือนักเตะที่สร้างแรงสั่นสะเทือนมากสุดคนหนึ่ง ในวงการลูกหนังเวลานี้

        ทั้งการไล่ล่าทำลายสถิติส่วนตัว, การเดินหน้าคว้าแชมป์อย่างต่อเนื่อง และเรื่องราวนอกสนามมากมาย เพียงพอต่อการสร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลายคน

        ช่วงนี้เราเจาะลึกกันหน่อยว่า การที่ "CR 7" ก้าวมาเป็นนักเตะที่ประสบความสำเร็จ มาจากแรงผลักดันจากเรื่องใด ? ทั้งหมดผ่านบทสัมภาษณ์จากปากของเจ้าตัวเอง

        "ความทรงจำที่ชัดเจน, เกิดขึ้นตอนที่ผมอายุเพียง 7 ขวบ ผมสามารถจดจำมันได้ จนถึงทุกวันนี้ ผมยังคงเห็นภาพเหล่านั้น มันให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจ นั่นคือเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว"

        "ผมเริ่มเล่นฟุตบอลแบบจริงจัง หลังจากไล่หวดลูกหนังบนท้องถนนในหมู่เกาะมาเดยร่า พร้อมกับบรรดาเพื่อนฝูงมากมาย ผมพูดถึงถนนที่เป็นถนนจริงๆ มันไม่ใช่ถนนที่ว่างเปล่า เราไม่มีเสาประตู หรืออะไรทั้งนั้น"

        "เราต้องหยุดเตะบอลสักครู่นึง เมื่อรถยนต์ขับผ่านมา ผมมีความสุขมากที่ได้เล่นฟุตบอลในทุกวัน ขณะที่คุณพ่อของผม ท่านเป็นคนดูแลเรื่องเสื้อแข่งที่สโมสรอันดอรินญ่า"

        "ท่านเป็นคนคอยบอกให้ผมมาเล่นกับสโมสรแห่งนี้ ในฐานะนักเตะเยาวชนของอะคาเดมี่ ผมตัดสินใจไปเล่นทันทีเลย เพราะนั่นทำให้ท่านภาคภูมิใจ"

       "การเป็นเด็กเยาวชนวันแรก, มีหลายกฏกติกาที่ผมยังไม่เข้าใจ แต่ผมก็รักมันนะ ผมหลงใหล และมีความรู้สึกแห่งชัยชนะ คุณพ่อคอยยืนให้กำลังใจบริเวณข้างสนาม ในทุกเกมที่ผมลงเตะ"

        "แน่นอนว่า ท่านก็รักฟุตบอลเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม คุณแม่ และพี่สาวของผม ยังไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องของฟุตบอลมากเท่าไหร่นัก"

        "ทุกการรับประทานอาหารค่ำ คุณพ่อพยายามโน้มน้าวพวกเธอให้มาชมผมลงแข่งฟุตบอล คุณพ่อเปรียบเหมือนเอเย่นต์คนแรกของผมเลย"

        "ผมจำได้เสมอว่า กลับบ้านมาหลังจากลงแข่งขัน ท่านคอยบอกคนในบ้านว่า -คริสเตียโน่ ยิงประตูได้ด้วยนะ !!- จากนั้น คุณแม่ และพี่สาวตอบกลับว่า -โอ้ ก็ดีนะ- แต่ผมว่าพวกเธอไม่ได้ตื่นเต้นจริงๆหรอก"

        "ครั้งต่อมา คุณพ่อกลับบ้านมา และพูดเหมือนเดิมว่า -คริสเตียโน่ ยิงสองประตูเลยนะ!! - พวกเธอก็ยังไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ พร้อมกับพูดแบบเดิมว่า -โอ้ จริงหรอ ดีจัง-  นั่นทำให้ผมต้องยิงประตูต่อไปเรื่อยๆ"

        "คืนหนึ่ง คุณพ่อกลับบ้านมา และพูดอีกว่า -คริสเตียโน่ ยิง 3 ประตู ลูกของเราเหลือเชื่อมากเลยนะ !! เราต้องลองไปดูเขาลงเล่นแล้วล่ะ- แต่มันก็เท่านั้นแหล่ะ เมื่อผมมองไปข้างสนาม จะเห็นคุณพ่อยืนอยู่เพียงลำพังเหมือนเดิม"

        "กระทั่งวันหนึ่ง มันเป็นช่วงเวลาที่ผมไม่มีวันลืมเลือนเลย ผมกำลังอบอุ่นร่างกายอยู่ ทันใดนั้น ผมเหลือบไปเห็นคุณแม่ และพี่สาวนั่งอยู่บนอัฒจันทร์ !! พวกเธอมองมาทางผมด้วย พร้อมกับท่าทางที่ค่อนข้างผ่อนคลาย"

       "พวกเธอไม่ได้ตบมือ หรือตะโกนเชียร์อะไรหรอก แค่โบกมือให้ผม เหมือนกับดูขบวนพาเหรดอะไรทำนองนั้น แน่นอนว่า พวกเธอไม่เคยชมฟุตบอลมาก่อนเลย แต่วันนี้พวกเธอมาดูผม สำหรับผม แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว"

        "เหตุการณ์เหล่านั้น มีความหมายต่อตัวผมมาก มันเป็นบางอย่างที่อยู่ในใจผม มันทำให้ผมภาคภูมิใจ ย้อนกลับไปเวลานั้น ครอบครัวของเรายังไม่มีเงินทองมากมาย พร้อมกับมีชีวิตแสนยากลำบากที่เกาะมาเดยร่า"

        "ผมต้องใส่รองเท้าที่พี่ชาย หรือญาติๆ มอบต่อมาให้ อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณยังเป็นเด็ก คุณไม่สนใจเรื่องของเงินทองหรอก ทั้งหมดมีแค่เรื่องของความรู้สึก วันนั้นมันเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ ผมรู้สึกได้รับการปกป้อง และได้ความรักเป็นอย่างมาก"

        "ผมมองย้อนความทรงจำเหล่านั้น ด้วยความรู้สึกคิดถึง เพราะว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ฟุตบอลมอบทุกอย่างให้ผม แม้ว่ามันจะพัดพาให้ผมออกห่างจากบ้าน ก่อนที่ผมจะพร้อมรับมือกับมันก็ตามที"

        "ตอนนั้นผมอายุ 11 ขวบ ผมต้องข้ามเกาะมาเดยร่า มาเป็นเด็กเยาวชนของสโมสรสปอร์ติ้ง ลิสบอน มันถือเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากสุดในชีวิตของผมเลย"

        "เมื่อมองย้อนกลับไป มันเป็นเรื่องที่บ้ามาก ตอนที่ผมกำลังเขียนข้อความเหล่านี้ ลูกชายของผมอย่างคริสเตียโน่ จูเนียร์ อายุ 7 ขวบแล้ว"

        "ผมคิดถึงความรู้สึกของตัวเอง ว่าจะเป็นอย่างไร หากว่า 4 ปีข้างหน้า ผมจะต้องส่งลูกชายไปกรุงปารีส หรือกรุงลอนดอน มันเป็นไปไม่ได้เลย ซึ่งผมคิดว่า ช่วงเวลานั้นครอบครัวของผมก็คงรู้สึกอย่างเดียวกัน"

        "อย่างไรก็ตาม มันเป็นการเปิดโอกาสให้ผมทำตามความฝัน ดังนั้นครอบครัวจึงปล่อยผมไป ผมร้องไห้เกือบทุกวัน แม้ว่าผมจะอยู่ในประเทศโปรตุเกส แต่มันก็เป็นเหมือนการย้ายไปเมืองแห่งใหม่ เป็นเมืองที่มีสำเนียงการพูดที่แตกต่างออกไป"

        "ส่วนในแง่ของวัฒนธรรมก็แตกต่างกันด้วย ผมไม่รู้จักใครเลย และมันทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว ครอบครัวจะเดินทางมาเยี่ยมผม 4 เดือนครั้งเท่านั้น หรือบางครั้งมันก็ยาวนานกว่านั้น ผมคิดถึงครอบครัวมาก เวลาที่ผ่านไปทุกวัน มันจึงมีแต่ความเจ็บปวด"

        "อย่างไรก็ตาม ฟุตบอล ทำให้ผมเดินหน้าต่อไป .. ผมรู้ว่าตัวเองสามารถทำอะไรในสนามได้บ้าง นั่นเป็นสิ่งที่เด็กคนอื่นในอะคาเดมี่ไม่อาจทำได้ ผมจำได้ว่า ครั้งแรกที่ผมมา เด็กคนอื่นพูดกันว่า -แกเห็นหมอนั่นมั้ย ? ฝีเท้าของเขาเหมือนปีศาจเลย-"

        "นอกจากนี้ ผมยังแอบได้ยินผู้คนซุบซิบกันว่า -ให้ตายซิ เขาตัวเล็กมากเลย- มันเป็นความจริง ผมตัวผอมบางมาก และไม่มีกล้ามเนื้อเลย ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ในช่วงอายุ 11 ขวบ ผมรู้ว่าตัวเองเป็นคนมีความสามารถ"

        "จากวันนั้น ผมสัญญากับตัวเองว่าต้องทำงานให้หนักกว่าคนอื่น ผมจะเลิกเล่นฟุตบอลเหยาะแหยะเหมือนกับเด็กๆ ผมจะหยุดทำตัวเหมือนเด็กๆ และผมจะฝึกซ้อม จนทะยานไปเป็นนักเตะที่ดีสุดในโลก"

        "ผมไม่รู้เหมือนกันว่า ความรู้สึกเหล่านี้มาจากไหน ? มันอยู่ภายในตัวของผม มันเป็นความกระหายที่ไม่เคยจากไปไหนเลย เมื่อคุณพบกับความพ่ายแพ้ ความกระหายก็ยังอยู่ เมื่อคุณชนะ ความกระหายก็ยังอยู่เหมือนเดิม"

        "ตอนช่วงเวลากลางคืน ผมชอบแอบหนีออกจากหอพัก เพื่อไปฝึกซ้อมต่อคนเดียว จนร่างกายผมใหญ่ขึ้น และรวดเร็วขึ้น จากนั้น ผมก้าวเท้าลงสู่สนาม ผู้คนที่เคยแอบนินทาว่าผม กลับจ้องมองมา พร้อมสีหน้าที่เหมือนว่าโลกกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ"

        "ตอนที่ผมอายุ 15 ผมหันไปหาเพื่อนร่วมทีมบางคน ในช่วงระหว่างการฝึกซ้อม ผมบอกกับพวกเขาว่า -พวกนายคอยดูนะ สักวันหนึ่ง ข้าจะเป็นนักเตะที่เก่งสุดในโลกใบนี้-"

        "เพื่อนร่วมทีมพากันหัวเราะเยาะผม เนื่องจากผมยังไม่เคยแม้แต่จะเล่นทีมชุดใหญ่ของสปอร์ติ้ง ลิสบอน เลยด้วย แต่ผมมีความเชื่อแบบนั้น ผมหมายถึงแบบนั้นจริงๆ"

        "ตอนอายุ 17 ผมก้าวเข้าสู่วงการฟุตบอลอาชีพเป็นครั้งแรก ทว่าคุณแม่ ไม่ได้เดินทางมาชมเกมบ่อยนัก เนื่องจากบรรยากาศในเกมมันตึงเครียดเกินไป"

        "ท่านเคยมาดูผมเล่นในสนามเอสตาดิโอ โชเซ่ อัลวาลาด ครั้งหนึ่ง ท่านเป็นคนที่ค่อนข้างตื่นประหม่ากับบรรยากาศของเกมใหญ่"

        "เธอเคยวูบไปบางครั้งเหมือนกันนะ เธอเป็นลมหมดสติไปเลย จากนั้น คุณหมอได้กำชับว่า ท่านควรใช้ยาระงับประสาท หากอยากจะเข้ามาชมเกมที่ผมลงแข่ง ผมแซวท่านว่า -ผมจำได้นะแม่ เมื่อก่อนไม่เห็นแม่สนใจฟุตบอลเลย-"

        "ผมเริ่มมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่องๆ ผมอยากเล่นให้ทีมชาติโปรตุเกส และต้องการเล่นให้ยักษ์ใหญ่อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วย"

        "นั่นเป็นเพราะว่า ผมคอยเฝ้าชมการแข่งขันพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ผ่านหน้าจอโทรทัศน์ ผมทึ่งกับจังหวะเกมที่รวดเร็ว และบรรดาแฟนบอลบนสแตนด์ที่คอยส่งเสียงเชียร์ทีมรัก"

        "บรรยากาศเหล่านั้น คอยขับเคลื่อนตัวผม เมื่อผมกลายเป็นนักเตะของปีศาจแดง มันเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจของผมจริงๆ แต่ผมคิดว่า ครอบครัวของผมน่าจะภาคภูมิใจมากกว่าตัวผมอย่างแน่นอน"

        "ช่วงแรก, การคว้าแชมป์ส่งผลต่ออารมณ์ของผมมาก ผมจำได้ตอนที่คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีก กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มันเป็นความรู้สึกที่ล้นทะลัก เช่นเดียวกับการซิวรางวัลบัลลงดอร์ เป็นสมัยแรก"

        "แต่ความฝันของผมก็ใหญ่ขึ้นไปอีก แรงปรารถนาของผมคือเรอัล มาดริด ผมอยากได้ความท้าทายใหม่ ผมอยากไปคว้าแชมป์กับเรอัล มาดริด,  ทำลายสถิติที่ขวางหน้า และเป็นตำนานของสโมสร"

        "ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ผมประสบความสำเร็จอย่างเหลือเชื่อกับเรอัล มาดริด ด้วยความสัตย์จริง การคว้าแชมป์ในช่วงหลัง มันให้อารมณ์ และความรู้สึกที่แตกต่างออกไป"

        "โดยเฉพาะช่วง 2 ปีหลังที่ผ่านมา ที่เรอัล มาดริด หากคุณไม่สามารถคว้าแชมป์มาครอง ผู้คนจะมองว่าคุณล้มเหลวแล้ว !!  มันคือความคาดหวังที่หนักหนา ทว่านี่คืองานของผม"

        "อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณกลายเป็นพ่อคน มันเป็นอะไรที่แตกต่างไป มันเป็นความรู้สึกที่ผมไม่สามารถอธิบายออกมาได้ เป็นเหตุผลว่า ทำไมช่วงเวลาของผมที่เรอัล มาดริด ถึงแสนพิเศษ นอกจากผมจะเป็นนักฟุตบอลแล้ว ผมยังเป็นพ่อคนอีกด้วย"

        "ช่วงเวลาหนึ่งที่ผมจะไม่ลืมเลือนเช่นกัน เมื่อคิดถึงมันเมื่อไหร่ ผมก็อบอุ่นใจทุกครั้ง นั่นคือการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่คาร์ดิฟฟ์, เวลส์"

        "เราสามารถสร้างประวัติศาสตร์ในค่ำคืนนั้น เมื่อผมเดินลงสนามไป หลังจากเกมจบไปแล้ว ผมรู้สึกว่าตัวผมได้ส่งข้อความบางอย่างไปทั่วโลก"

        "แต่เมื่อลูกชายผมเดินลงสนาม และเฉลิมฉลองด้วยกัน มันเหมือนผมกัดนิ้วตัวเอง ความรู้สึกเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ลูกชายของผมวิ่งเล่นร่วมกับลูกชายของมาร์เซโล่ เราชูถ้วยแชมป์ร่วมกัน จากนั้นเราก็เดินจับมือกันไปรอบสนาม"

        "มันเป็นความรู้สึกยินดีที่ผมไม่เคยเข้าใจ กระทั่งผมกลายมาเป็นพ่อคน มันเต็มไปด้วยอารมณ์มากมาย ที่ไม่สามารถสรรหาคำใดมาอธิบาย สิ่งเดียวที่พอจะเปรียบเทียบกับสิ่งนี้ได้ คือตอนที่คุณแม่ และพี่สาว มาดูผมเล่นฟุตบอลเป็นครั้งแรกนั่นแหล่ะ"

        "เมื่อเรากลับมาเฉลิมฉลองที่สนามซานติอาโก้ เบอนาเบว ลูกชายของผมกับมาร์เซโล่ ต่างวิ่งเล่นไปรอบสนาม ต่อหน้าแฟนบอลของเรา"

        "แม้ว่ามันแตกต่างมากกับการเล่นฟุตบอลของผมบนท้องถนนที่้บ้านเกิด แต่ผมหวังว่า คริสเตียโน่ จูเนียร์ จะรู้สึกแบบเดียวกันกับผมนะ"

       "หลังจากผ่านพ้นการลงสนาม 400 เกมกับสโมสรเรอัล มาดริด เรื่องของชัยชนะ ก็ยังคงเป็นเป้าหมายของผมไม่เปลี่ยนแปลง ผมคงเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ แต่ความรู้สึกหลังจากคว้าชัยชนะได้มันเปลี่ยนไปแล้ว นี่คืออีกหนึ่งฉากใหม่ในชีวิตผม"

       "ผมปักข้อความพิเศษลงบนรองเท้าสตั๊ดไนกี้ เมอคิวเรียล ตรงบริเวณส้นเท้าข้างขวา มันจะเป็นคำสุดท้ายที่ผมจะนั่งอ่าน ก่อนผูกเชือกรองเท้า และลงเดินไปยังอุโมงค์นักเตะ มันคือข้อความว่า -ความฝันวัยเด็ก- บางที คุณอาจเข้าใจมันแล้ว"

       "ตอนสุดท้าย ภารกิจของผมยังคงเหมือนเดิม อย่างที่เคยเป็นมาตลอด ผมต้องการเดินหน้าทำลายสถิติกับทีมเรอัล มาดริด ต่อไป ผมต้องการคว้าแชมป์ให้มากสุดเท่าที่สามารถทำได้ นี่คือธรรมชาติของผม"

        "แต่สิ่งที่มีความหมายกับผมมากที่สุด ในช่วงเวลาที่เรอัล มาดริด ผมจะนำสิ่งเหล่านี้ไปเล่าให้ลูกหลานของผมฟัง ตอนที่ผมอายุ 95 ปี นั่นคือความรู้สึกเมื่อเดินไปรอบสนามในฐานะแชมเปี้ยน พร้อมกับจับมือลูกชายเอาไว้ด้วย ... หวังว่าเราจะได้ทำมันอีกครั้ง"

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด