จริงอยู่ ที่เกมนี้มันจบไปแล้ว และในท้ายที่สุดก็เป็นลิเวอร์พูลที่เป็นผู้ชนะไป หลายๆ คนอาจจะคิดได้ว่า “ชนะยังไง มันก็คือชนะเหมือนกันนั่นแหละ” แต่จริงๆ ในเกมเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมานั้น มีจุดสังเกตและน่าห่วงของลิเวอร์พูลอยู่หลายจุดเหมือนกันนะครับ
1.กำแพงเหล็กเริ่มมีช่องโหว่
อันนี้เป็นจุดที่น่าห่วงที่สุดเลยครับ เพราะปีที่แล้วที่ลิเวอร์พูลยกระดับตัวเองขึ้นมาได้ ก็เป็นเพราะแผงหลังอันแข็งแกร่งของพวกเขานี่แหละครับ ที่ทำให้ทั้งปีนั้นพวกเขาแทบไม่แพ้ใครเลย การสอดประสาน ความเข้าอกเข้าใจกัน ของแผงกองหลังลิเวอร์พูลนั้นอยู่ในระดับสุดยอด และอาจจะเรียกได้ว่านี่คือแผงหลังที่ดีที่สุดในยุโรปเมื่อปีที่แล้วเลยก็ว่าได้ แต่จากเกมเป็นทางการ 2 เกมที่ผ่านมาเราเริ่มเห็นครับว่าคู่ต่อสู้เริ่มจะหาทางเจาะกำแพงเหล็กนี้ได้กันบ้างแล้ว และส่วนใหญ่จะใช้วิธี “แทงตามช่อง” กันเป็นหลักเสียด้วย ซึ่งการที่แผงหลังลิเวอร์พูลยังหาจังหวะที่ลงตัวไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะว่ามีการสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนตำแหน่งกันจนมึนงง หรือ อาจจะเพราะเพิ่งเปิดฤดูกาลอะไรยังไม่เข้าที่เข้าทางก็แล้วแต่ แต่ตรงจุดนี้เป็นการบ้านอันใหญ่หลวงของเจอร์เก้น คล็อปเหมือนกันครับ ว่าจะทำยังไงให้กำแพงเหล็กของทีมนี้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง ยิ่งในตอนนี้ที่ไม่มียอดโกล์อย่างอลิสซง เบ็คเกอร์ที่หายไปเนื่องจากอาการบาดเจ็บด้วยแบบนี้ยิ่งน่าปาดเหงื่อเข้าไปใหญ่ เพราะอาเดรียนก็เหมือนว่าจะห่างหายจากการเฝ้าเสาประตูมานานเหลือเกิน นัดนี้ก็แสดงให้เห็นกันแล้วที่จังหวะเขาช้าเกินไปจนทำให้ทีมเสียจุดโทษ คล๊อปป์ต้องรีบเร่งความฟิต ความเข้าใจกันในแผงหลังให้ได้โดยด่วนเลยครับ ไม่งั้นลิเวอร์พูลน่าจะเหนื่อยกับปัญหานี้แน่นอน
2.ความสับสนของคล็อปป์
ก่อนหน้านี้แฟนๆ อาจจะหงุดหงิดและไม่เข้าใจ ว่าทำไมลิเวอร์พูลถึงไม่เสริมตัวใหม่ๆ มาบ้างเลย แบบนี้จะสู้กับแมนฯ ซิตี้ไหวเหรอ ??? ลืมแมนฯ ซิตี้ไปก่อนได้เลยครับ ก่อนจะไปยุ่งกับคนอื่นเราควรต้องจัดการเรีื่องของตัวเองให้เรียบร้อยเสียก่อน ทำไมผมถึงบอกแบบนี้ เพราะใครดูนัดนี้น่าจะพอเข้าใจถึงความ “สับสน” ของเจอร์เก้น คลอปป์อยู่บ้างพอสมควรเลย แค่นักเตะในมือที่มีอยู่ แค่นี้ก็ดูเหมือนจะจัดสรรให้ลงตัวลำบากแล้วครับ แล้วยิ่งคล็อปป์เป็นคนที่เน้นการ “บริหารคน” มากกว่าที่จะซื้อตัวหรือซื้อดารานักเตะชื่อดังมากองรวมๆ กันให้เลือกใช้แบบนี้ ยิ่งมีตัวเลือกมากๆ ก็ยิ่งสร้างความสัปสนเข้าไปใหญ่ครับ อย่างในนัดนี้ หลายๆ คนก็เซอร์ไพรซ์กับการจัดตัวของคล็อปป์อยู่พอสมควรทีเดียว ที่อยู่ๆ ก็ใช้มาเน่เป็นกองหน้าตัวเป้า แล้วให้อ็อกเหลด เชมเบอร์เลนมาเล่นเป็นตัวริมเส้นแทนซะงั้น ซึ่งกับผลลัพพ์ของการจัดตัวแบบที่ว่านี้ แม้แต่ตัวคล๊อปป์เองยังยอมรับเลยว่าเป็นความผิดของเจ้าตัวเอง และคาดหวังกับดิ อ๊อกมากเกินไปหน่อย ทำให้ในเกมครึ่งแรกที่เราเห็นนั้น นอกจากจังหวะที่จ่ายให้ซาลาห์หลุดไปยิง เราก็แทบไม่เห็นแชมเบอร์เลนในสนามอีกเลย ซึ่งถึงตรงนี้ต้องบอกว่า จริงๆ การที่คล็อปป์ไม่ซื้อใครเข้ามาเลย อาจจะส่งผลดีกว่าจริงๆ ก็ได้ครับ เพราะแค่นี้ก็สับสนแล้ว ถ้าให้แกจัดการจำนวนนักเตะเก่งๆ อีโก้สูงๆ หลายๆ คนผมคิดว่าน่าจะไม่ส่งผลดีกับทั้งคล็อปป์และสปิริตในทีมแน่ๆ ทางแก้ไขก็ไม่มีอะไรยากครับ เพียงแต่ให้นักเตะที่คล็อปป์คาดหวังไว้ เช่น นาบี้ เกอิต้า อ๊อกเหลด เชมเบอร์เลน ทำผลงานให้ดีอย่างที่โค้ชชาวเยอรมันผู้นี้หวังไว้ให้ได้ ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกและใหม่แต่อย่างใดครับ คล๋็อปป์นั้นมีจุดเด่นในเรื่องนี้และทำให้เห็นกันมานักต่อนักแล้ว แต่หวังว่าจะไม่ใช้เวลานานจนเกินไปนะ
3. เก่งไปก็ใช่ว่าจะดี
ปัญหานี้ออกจะตลกๆ อยู่ซักหน่อย แต่นั่นคือเรื่องจริงครับ ในขณะที่แฟนบอลครั่นคร้ามและชื่นชมกับ 3 ประสาน ฟิร์มีโน่ ซาลาห์ และ มาเน่ ของลิเวอร์พูลว่านี่คือ 3 กองหน้าที่ดีที่สุดในยุโรป ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ยกย่องกันเกินเลยแต่อย่างใด เมื่อดูจากผลงานของทั้ง 3 คนที่ผ่านมา แต่นั่นกลับกลายเป็นดาบ 2 คมที่ส่งผลเสียกับลิเวอร์พูลไปอย่างตลกร้าย .... ใช่ครับ ในเมื่อ 3 คนนี้เก่งขนาดนี้ แล้วใครจะอยากย้ายเข้ามาทีมลิเวอร์พูลล่ะ ?? หรือถ้าต้องซื้อตัวดีๆ ค่าตัวแพงๆ มา ก็ต้องจับนั่งสำรอง รอโอกาสสลับเปลี่ยนหมุนเวียนแค่นั้นเองเหรอ ? นี่แหละครับปัญหาใหญ่ เพราะจริงๆ แล้วใครก็พอจะมองออกว่าสิ่งที่ลิเวอร์พูลเทียบไม่ได้กับแมนฯซิตี้ ก็ตรงเรื่องกำลังสำรองนี่แหละ แต่พอเป็นแบบนี้แล้ว ก็กลายเป็นว่าปัญหานี้แก้ไขได้ยากเย็นเหลือเกินครับ และทุกครั้งที่กองหน้าของทีมไม่ใช่ 3 คนนี้ หรือขาดใครไปแค่คนใดคนหนึ่ง เกมรุกของทีีมจะเริ่มตื้อตันทันที แบบในเกมนี้ก็เช่นกัน ในครึ่งแรกกับครึ่งหลังที่มีกับไม่มีโรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่นั้น เกมรุกของทีมแต่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ในเกมแรกก็เช่นเดียวกัน ที่ทีมขาดมาเน่ไป ก็ดูจะขาดชีวิตชีวาไปมากเหมือนกัน แต่ปัญหานี้ก็ถือว่ายังโชคดี ที่ลิเวอร์พูลเหมือนถูกหวย ที่อยู่ๆ ดิว๊อก โอริกี้กลับมาเข้าฝั่งและเล่นได้อย่างแข็งแกร่งอีกครั้งหนึ่ง และถูกหวยซ้ำสองไปอีก เมื่อเจ้าตัวยอมต่อสัญญากับทีม ต่อไป เพราะนั้นหมายความว่าลิเวอร์พูลก็ยังพอจะมีกองหน้าตัวเสริมที่พอจะฝากผีฝากไข้ไว้ได้บ้างเหมือนกัน
ก็ต้องฝากความหวังไว้กับท่าน “มหาเทพโอริกี้” คนนี้นี่แหละครับ ว่าอย่าพายเรือออกทะเลไปอีกรอบ ไม่งั้นเกมรุกลิเวอร์พูลเหนื่อยหนักแน่นอน
4. ผิดแผนไปหมด
เกมเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมานอกจากลิเวอร์พูลเป็นผู้ชนะและได้ถ้วยซุปเปอร์คัพ ไปครองแล้ว อะไรๆ ดูไม่เป็นใจกับลิเวอร์พูลเอาเสียเลยครับ เรื่องหลักๆ เลยคือ ลิเวอร์พูลต้องมาเล่น 120 นาทีเต็มแบบนี้ ไม่ส่งผลดีกับนักเตะลิเวอร์พูลเอาเสียเลยครับ คล็อปป์เองก็บอกว่าทีแรกตั้งใจจะรักษาจำนวนนาทีให้กับนักเตะบางคนไม่ให้เล่นนานจนเกินไปนัก กลายเป็นว่าต้องเล่นนานกว่านัดปกติอีก ตรงนี้ไม่รู้จะส่งผลเสียอะไรต่อเกมพรีเมียร์ลีกในสุดสัปดาห์นี้ และสภาพร่างกายของนักเตะในอนาคตหรือเปล่า ยิ่งช่วงเปิดฤดูกาลที่ความฟิตยังไม่เข้าที่แบบนี้ยิ่งน่าเป็นห่วง เพราะงั้นดีไม่ดีในเกมพรีเมียร์ลีกสุดสัปดาห์นี้ที่เจอกับ เซาท์แฮมป์ตันเราอาจจะได้ให้การโรเตชั่นอย่างหนักหน่วงของคล็อปป์อีกครั้งก็เป็นได้ครับ นักเตะในยูนิต 2 อย่างชากิรี่ , โอริกี้ , หรือนาบี เกอิต้าอาจจะได้โอกาสลงสนามในเกมนัดนี้ก็เป็นได้ ตรงนี้คล็อปป์ต้องจัดการให้ดีครับ ไม่ให้ส่งผลเสียต่อสภาพร่างกายของนักเตะ เพราะว่าตอนนี้ที่ทีมเสียอลิสซงไปคนนึงแล้ว ถ้ากำลังหลักเป็นอะไรไปอีกซักคน ..... งานเข้าแน่นอนครับ !
ถึงตรงนี้จะดูเหมือนว่าลิเวอร์พูลมีอะไรที่น่าห่วงเยอะไปหมด แต่จริงๆ แล้วปัญหาพวกนี้ ผมว่าคล็อปป์ก็คิดและมีแผนสำรองอยู่แล้วล่ะครับ กองเชียร์อย่างเราๆ ก็ต้องเชื่อมั่นในนักเตะ เชื่อมั่นในทีมงาน ว่าจะทำทีมไปในทิศทางที่ถูกที่ควรเหมือนที่เคยทำได้ในฤดูกาลที่ผ่านมานั่นแหละครับ ตอนนี้ใช้เวลาไปกับการดื่มด่ำกับการเป็น
“เจ้ายุโรป” ต่อไปอีกซักหน่อยดีกว่าครับ YNWA ครับทุกคน
