ทันเวลา ....
อีหยังวะ !!!???...
เวลาคนเรามันจะดวงตก นี่มันก็ตกกันแบบสุดๆ จริงๆ นะครับ นัดนี้ลิเวอร์พูลก็เริ่มต้นด้วยข่าวร้ายอยุ่แล้ว จากการที่จะไม่มีพี่หมี อลิสซง เบ็คเกอร์เป็นเวลาร่วมๆ เดือน จากอาการบาดเจ็บสะโพก และแอนดี้ โรเบิร์ดสันก็ยังมามีอาการบาดเจ็บรบกวนจนไม่สามารถลงเล่นได้ในเกมนี้อีก ทำให้ท่านรองเจมส์ มิลเนอร์ต้องลงสนามมาแทนในตำแหน่งแบ็กซ้าย เท่านั้นก็ทำให้เกิดความกังวลในใจของเดอะ ค๊อปเล็กๆ แล้ว ซ้ำร้ายกว่านั้น เริ่มมายังไม่ทันไร ลิเวอร์พูลฝ่ายเจ้าบ้านก็มาโดนทำประตูนำไปก่อนอย่างสุดช๊อค จากจังหวะที่บอร์นมัธทิ้งยาวมาให้กับคัลลั่ม วิลสันได้ดวลตัวต่อตัวกับโจ โกเมส ที่จริงๆ แล้วในจังหวะนี้โจ โกเมสถึงบอลก่อนแบบเห็นๆ แต่ก็มาโดนวิลสันผลักจนเสียหลักอย่างชัดเจน และก็เป็นเจ้าตัวนี่แหละที่ได้บอลจังหวะต่อเนื่องจากนี้แท๊ปอินเข้าไปง่ายๆ ลูกนี้ทำให้มีคำถามเกิดขึ้นกับการตัดสินของกรรมการและ VAR อีกครั้ง ว่ามาตรฐานการตัดสินอยู่ตรงไหน? เพราะจังหวะนี้ไม่ว่าจะดูแบบไหนก็น่าจะเป็นลูกฟาวล์แน่นอนอยู่แล้ว แต่กรรมการกลับปล่อยให้เล่นหน้าตาเฉย แถม VAR ก็ดันไม่มีทักท้วงไปด้วยซะอีก ... และแน่นอนว่า เจอร์เก้น คล็อปป์โวยแหลกแบบไม่พอใจอย่างสุดๆ แต่เขาก็รู้ดีว่าโวยวายไปก็ไม่ได้อะไรอยู่แล้วกับการตัดสินแบบนี้ คล๊อปป์จัดการเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยการปลุกเร้ากองเชียร์ให้โหมเชียร์กันให้มากกว่านี้ เปลี่ยนพลังความโกรธเกรี้ยวให้กลายเป็นพลังผลักดันให้นักเตะฮึดสู้กลับมาให้ได้ในเกมนี้
คมกริบ
ถึงแม้จะเริ่มต้นแบบเป็นผู้ตามหลังแต่ลิเวอร์พูลยังเก๋าครับ และพวกเขารู้ดีว่าเวลายังเหลืออยู่อีกเยอะ และต้องบอกว่าโชคยังเข้าข้างพวกเขาอยู่นิดๆ ที่เกมนี้พวกเขาเจอกับทีมที่ฟอร์มตกเหมือนกันอย่างบอร์นมัธ และยิ่งมาโชคดีอีกต่อจากการบาดเจ็บของสตีฟ คุ้ก จนทำให้่ แจ็ค ซิมพ์สัน ลงมาเล่นแทน และก็เป็นแจ็ค ซิมสันนี่แหละ ที่พลาดท่าให้ซาดิโอ มาเน่ ฉกไปไหลให้ซาล่าห์กดเรียดเข้าเสาแรกไปอย่างเฉียบขาด และพอได้ประตูตีเสมอเจ้าถิ่นก็โหมบุกหนักจนมาได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะโต้กลับอีกแล้ว เมื่อฟาน ไดค์ที่เกมนี้เติมเกมรุกสูงเหลือเกิน ตัดบอลได้จากกลางสนามแล้วแทงทีเดียวให้ซาดิโอ มาเน่หลุดเดี่ยวไปยิงสวนตัวแรมส์เดล เข้าประตูไปอย่างเฉียบขาด เรียกได้ว่ากองหน้าลิเวอร์ใช้โอกาสไม่เปลืองเลยใน 2 จังหวะนี้และกลับมาคมกริบได้ถูกที่ถูกเวลาพอดีจริงๆ จบครึ่งแรกไปอย่างหายใจโล่ง 2-1
เซฟแต้ม เซฟประตู เซฟแชมป์
ช่วงเวลาครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลก็พยายามนวดบอร์นมัธไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่ได้ประตูหนีห่างไปเสียที ซ้ำร้ายกว่านั้นพวกเขายังเป๋ๆ จนเกือบเสียประตูจากจังหวะสวนกลับของบอร์นมัธบ่อยครั้ง ถ้าลองสังเกตดูดีๆ นัดนี้กองกลางลิเวอร์พูลไม่สามารถตัดเกมจากบอร์นมัธได้เลย พวกเขาดูช้าไปแทบจะทุกจังหวะทำให้บอลทะลุไปถึงพื้่นที่อัันตรายของทีมอยู่บ่อยครั้ง และก็เกือบจะเสียประตูอย่างสุดๆ จากลูกที่ฟาบินโญ่ไปเสียบอลแดนกลางสนามและบอร์นมัธก็ยกบอลมาให้เฟรเซอร์หลุดดวลเดี่ยวกับอาเดรียนตัวต่อตัว และเฟรเซอร์ที่ถึงบอลก่อนก็จัดการกระดกบอลข้ามอาเดรียนไปได้บอลกำลังจะย้อยเข้าประตูไปอยู่แล้ว แต่ก็เป็นมิลเนอร์ที่ตามมาเล่นในจังหวะนี้อย่างสุดชีวิต และตามมาทิ้งตัวสกัดออกไปได้อย่างเหลือเชื่อจริงๆ ซึ่งลูกนี้มีความสำคัญอย่างมหาศาลมากๆ เพราะถ้าลิเวอร์พูลโดนประตูตีเสมอลูกนี้ไป ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าผลการแข่งขันนัดนี้สุดท้ายจะออกมาหน้าไหน ถ้าปีที่แล้วลิเวอร์พูลพลาดไปกับการสกัดบนเส้นในเกมที่เจอกับแมนฯซิตี้ทำให้ชวดได้ประตูจนส่งผลต่อแชมป์พวกเขาในภายหลัง ก็ต้องบอกว่าลูกเซฟลูกนี้ของมิลเนอร์ก็มีความสำคัญระดับนั้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย ถือว่าเกมนี้ คล๊อปป์ตัดสินใจได้ถูกต้องจริงๆ ที่ส่งมิลเนอร์ลงมาในช่วงเวลาที่สำคัญและกดดันแบบนี้
อีก 3 นัด
ตอนนี้ลิเวอร์พูลต้องการชัยชนะเพียงแค่ 3 นัดหรือ 9 คะแนนเท่านั้นก็จะได้แชมป์ที่พวกเขารอคอยแล้วแบบไม่ต้องสนใจผลการแข่งขันของคู่แข่งเสียด้วยซ้ำ นับว่าเป็นการกลับเข้าสู่ชัยชนะได้อย่างถูกที่ถูกเวลาพอสมควร และถ้าลองย้อนกลับไปในช่วงเวลาต่างๆ ในปีนี้ ถือว่าหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างเป็นใจกับลิเวอร์พูลพอสมควร พวกเขาฟอร์มดีสุดๆ เมื่อตอนต้นฤดูกาลก็จริง แต่สิ่งที่เป็๋นใจกับพวกเขาอีกอย่างก็คือทีมคู่แข่งต่างพากันทำแต้มตกหล่นเรี่ยราดไปหมด ทำให้ทีมที่ตามหลังมาท้อกับช่องว่างที่มันห่างเหลือเกิน จนถึงตอนนี้พวกเขาเริ่มฟอร์มตก ช่องว่างที่เกิดขึ้นมันก็มากมายเกินกว่าที่ทีมตามคิดจะแซงแล้ว หรือถ้าลงรายละเอียดไปเยอะกว่านั้น ก็ต้องบอกว่าพวกเขาโชคดีอีกต่อ เมื่อทีมตามอย่างแมนฯ ซิตี้ จับฉลากไปเจอกับของแข็งอย่างรีล มาดริด ทำให้พลพรรคเรือไปต้องไปมีสมาธิกับถ้วยยุโรปมากกว่าบอลลีกที่ดูความหวังริบหรี่แบบนี้ และบางทีโชคอาจจะเข้าข้างทางฝั่งหงส์แดงอีกครั้งก็ได้ เมื่อพวกเขาต้องไปเยือนคู่ปรับสำคัญอย่างแมนฯยูในวันอาทิตย์นี้และมีโปรแกรมกับ มาดริดรออยู่ในกลางสัปดาห์นี้เช่นกัน
.......... อะไรมันจะเป็นใจขนาดนี้ ฮรี่ๆ ....