:::     :::

"มาริโอ้" ผู้คุมทัพกิเลนด้วยจิตวิญญาณ

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม 2563 คอลัมน์ ONE MAN SHOW โดย แมน โกสินทร์
1,511
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เขากลายเป็นที่ถูกพูดถึงอย่างมาก เมื่อถูกดันจากกุนซือทีมเยาวชน ให้ขึ้นมาทำทีมชุดใหญ่ของ เอสซีจี เมืองทองฯ แบบสายฟ้าแลบ ต่อจาก อเล็กซานเดร กามา ที่ขอลาออกจาการทำทีมแพ้ ตราด เอฟซี คาบ้าน

ซึ่งอันที่จริงแล้วคนที่จะต้องเข้ามาสานงานต่อ และถูกวางไว้แล้วนั้นเป็นโค้ชไทยชื่อดังรายหนึ่งที่เพิ่งโยกไปคุมทัพเพื่อนบ้าน (จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวภายในทีม) ทว่าด้วยเหตุผลที่ทีมต้องการใช้ผู้เล่นดาวรุ่ง มากกว่าการซื้อตัวเหมือนครั้งก่อนๆ ทำให้แม่ ทัพคนใหม่จึงถูกกาไปที่ชื่อของ “มาริโอ ยูรอฟสกี้”

การทำทีมครั้งนี้เขาไม่ได้เดินเดียวดาย เพราะสโมสรมอบหมายให้ ดานโญ่ เซียก้า ขึ้นมาเป็นผู้ช่วยของเขาอีกด้วย และทั้งคู่ถือเป็น 2 ตำนานของสโมสร ในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดเกือบ 1 ทศวรรษที่แล้ว จนยากหาทีมใดมาเทียบเคียงในเวลานั้นได้


จริงอยู่...ทั้งสองคนอาจมีดีกรีเพียง บี ไลเซนส์  แต่เหตุจูงใจที่บอร์ดบริหารตัดสินใจแต่งตั้ง ไม่เพียงแต่ดูที่ประวัติการคุมทีมฟุตบอลนักเรียนให้กับทีมเยาวชนของสโมสร ในนาม “โพธินิมิตร” เท่านั้น

สิ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือการมี DNA ของ “กิเลนผยอง” ไหลเวียนในร่างกายอย่างเต็มเปี่ยม นับตั้งแต่เข้ามาสู่ทีมเมื่อปี 2012 หลังย้ายมาจาก เมตาลูร์กห์ โดเนตส์ค ทีมเงินหนาในลีกยูเครน  

ในเวลาดังกล่าวเพียงฤดูกาลแรกเขาก็เป็นคีย์แมนสำคัญที่ทำให้ “กิเลนผยอง”คว้าแชมป์ไทยลีก แบบ "ไร้พ่าย" เป็นสโมสรแรกในประเทศไทย ด้วยการผนึกกำลังร่วมกับ ดานโญ่ เซียก้า, พิชิตพงษ์ เฉยฉิว และ ดัสกร ทองเหลา ในแดนกลาง นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าของเสื้อหมายเลข 20 ที่แฟนบอลหลายคนยกให้เป็นหนึ่งในตำนานของสโมสร


แม้ในเวลาต่อมาเขาจะโยกไป แบงค็อก ยูไนเต็ด และ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ทว่าในปี 2019 มาริโอ ก็กลับมาอยู่ในอ้อมกอดที่อบอุ่นของ เอสซีจี เมืองทองฯ อีกครั้ง ซึ่งอาจเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แค่เลกแรกเท่านั้น แต่เขาเองก็ได้รับสิ่งที่ต่อยอดในอาชีพคือการขึ้นมาเป็นโค้ชเยาวชน ต่อเนื่องมาถึงชุดใหญ่

นอกจากการแต่งตัวแบบเนี๊ยบๆ เสื้อรัดรูปและกางเกงขาเดป 3 ส่วนในทุกเกมที่ยืนข้างสนามแล้ว สิ่งที่ “โค้ชมาริโอ” แสดงออกมาอย่างชัดเจน ก็คือ PASSION ที่อินสุดตัวกับเกมในสนาม ซึ่งไม่เคยเปลี่ยนไปเลยตั้งแต่สมัยเป็นผู้เล่น

การสั่งการแท็กติค, อารมณ์ร่วมกับเกม, จิตวิญญาณที่เปี่ยมไปด้วยความกระหายชัยชนะ, แม้กระทั่งแอคชั่นเดือดๆ กับผู้ตัดสิน คือสิ่งที่เขาแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัดในช่วงเดือนเศษที่ผ่านมา

ยิ่งเกมล่าสุดใน เอฟเอ คัพ รอบ 32 ทีมสุดท้าย ซึ่ง “กิเลนผยอง” ยุคสายเลือดใหม่ ที่มีแต่เด็กๆ เจเนอเรชั่นยังเติร์กเป็นตัวชูโรง โคจรมาเจอกับทีมมหาเศรษฐีอย่าง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ซึ่งนำมาโดยอดีต 3 แข้ง เอสซีจี เมืองทองฯ ที่ถูกขายออกไป ไม่ว่าจะเป็น สารัช อยู่เย็น, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ และเจนรบ สำเภาดี

รวมไปถึงคู่ปราการหลังร่างยักษ์ อย่าง อันเดรส ตูเญซ และ วิคเตอร์ คาร์โดโซ่ เซนเตอร์ฮาล์ฟดาวซัลโวที่กดไป 7 ประตูในลีก ยังมี สันติภาพ จันทร์หง่อม, ฉัตรชัย บุตรพรม รวมไปถึง ดาเนียล การ์เซีย โรดริเกวซ หรือ “โตติ” ฯลฯ

นัดดังกล่าว “โค้ชมาริโอ” ทำให้สาวกของ “กิเลนผยอง” ได้เห็นว่า การประสานงานร่วมกันของ สหรัฐ กันยะโรจน์ และ ซาร์ดอร์ มีร์ซาเยฟ สามารถทำได้อย่างลงตัว หลังจากรายแรกแทงบอลทะลุหว่างขา “สารัช อยู่เย็น” ไปให้ดาวเตะทีมชาติอุซเบกิสถาน ยิง 1-0 ก่อนครึ่งหลังจะโดนตีเสมอ 1-1 และต้องต่อเวลาจนถึง 120 นาที


ในช่วงต่อเวลาพิเศษ พวกเขาเล่นได้ดีอย่างมาก แสดงให้เห็นว่าเด็กพวกนี้ทุ่มเทกับการสร้างความฟิตมากเพียงใด ด้วยเรี่ยวแรงที่ไม่หมด แถมยังเดินเกมรุกแบบเอกอุ ชนิดที่ทีมเยือนนั้นดูจะมีแบตเตอรีในร่างกายที่เหลือน้อยลงไปยิ่งกว่า

ก่อนจะเป็น "ต้า" สุพร ปีนะกาตาโพธิ์ รับบอลจากทางซ้าย แล้วพาบอลเข้าขวายิงเต็มแรงแซงทะลุอากาศส่งบอลเสียบตาข่ายอย่างหมดจด ทำให้ชนะไปด้วยสกอร์สุดมันส์ 2-1 


สิ่งที่ยอดเยี่ยมหลังจบเกม คือ โค้ชมาริโอ ได้โพสต์ข้อความถึง "ป้าก้อย"ผุสสดี กำมะหยี่ อดีตฝ่ายฟื้นฟูร่างกายของสโมสรเอสซีจี เมืองทองฯ ที่อยู่กับทีมมาตั้งแต่ปี 2007 รวมทั้งเคยร่วมงานกับอดีตดาวเตะมาซิโดเนียในปี 2012 ก่อนเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.ที่ผ่านมา

ข้อความดังกล่าวระบุในไอจีของ "ซูเปอร์มาริโอ"ว่า "บางสิ่งจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หากไม่มีพวกคุณผมคงไม่ได้เป็น มาริโอ ยูรอฟสกี้ ในทุกวันนี้ ผมรักพวกคุณ ผมขออุทิศชัยชนะในแมตช์นี้เพื่อ ป้าก้อย หลับให้สบายครับ’’ นี่คือจิตวิญญาณของการเป็น เอสซีจี เมืองทองฯ ขนานแท้

นับจากวันที่เขาก้าวมาสู่สโมสร ในฐานะนักเตะเมื่อปี 2012 ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับทีมได้หรือไม่ เพราะเป็นการผจญภัยนอกยุโรปครั้งแรกของเขา กระทั่งเวลาผ่านมานานถึง 8 ปีเต็มๆ จนกลายมาเป็นเทรนเนอร์ของ "กิเลนผยอง"


หากให้เวลาเขาทำทีมแบบนี้ต่อไปอีกสักระยะ มั่นใจเหลือเกินว่าเขาคงจะหยิบยื่นโอกาสไปสู่แข้งเยาวชนอีกหลายคน เพื่อขึ้นมาฉายแสงให้กับสาวก “กิเลนผยอง” ได้เห็นกันบ้าง ซึ่งนี่แหละที่เป็นสเน่ห์ของฟุตบอลที่กำลังจะกลับคืนมา ณ ถิ่น เอสซีจี สเตเดี้ยม ภายใต้การกุมบังเหียนของเทรนเนอร์วัย 34 ปี จาก มาซิโดเนีย รายนี้!!!


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด