:::     :::

การผจญภัยครั้งใหญ่ของ "สุภโชค" ในเจลีก

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน 2565 คอลัมน์ ONE MAN SHOW โดย แมน โกสินทร์
624
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ถือเป็นเรื่องน่ายินดีกับ "เช็ค" สุภโชค สารชาติ ที่ได้รับการสัญญาถาวรจาก คอนซาโดเล่ ซัปโปโร่ เป็นเวลา 5 ปี

ซึ่งเป็นสัญญาที่ค่อนข้างยาวเลยทีเดียว นั่นแสดงให้เห็นแล้วว่า “คอนซะ” เชื่อมั่นในฝีเท้าของ “สุภโชค” เป็นอย่างมาก แม้ว่าการลงชิมลางบนเวทีเจลีก ด้วยสัญญายืมตัว 6 เดือน เขาจะได้ลงสนามในเกมลีกสูงสุดของแดนซามูไรไปเพียง 7 นัด 

ซึ่งทุกนัดเป็นการลงสนามด้วยการเป็นตัวสำรองทั้งหมด แต่การทำได้ 3 แอสซิสต์ กับเวลาที่มีอยู่ในสนาม 93 นาที ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่า เขามีแววที่จะก้าวขึ้นไปเป็นกำลังสำคัญของทีมในอนาคต


ทำให้เจลีก ฤดูกาลหน้าจะมีนักเตะไทยค้าแข้งบนแผ่นดินซามูไร 2 คน คือ “เช็ค” สุภโชค และ “เจ” ชนาธิป ที่อยู่กับ คาวาซากิ ฟรอนตาเล่

ตลอดเส้นทางลูกหนังตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน “สุภโชค” ผ่านอุปสรรคและผิดหวังไม่น้อย นับตั้งแต่ก้าวจากทีมอคาเดมี่มาเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ตั้งแต่ปี 2015 ด้วยวัยเพียง 17 ปี 

ไม่ว่าจะเป็นการหลุดโผทีมชาติไทย ชุดซีเกมส์ ปี 2017 ที่มาเลเซีย 


แต่ที่หนักสุดคงเป็นเหตุการณ์ในศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ที่เสมอ เวียดนาม ไร้สกอร์ ที่สนามมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต เมื่อปี 2019 

โดยจังหวะดังกล่าวเจ้าตัวหลุดเดี่ยว ก่อนจะแตะหลบ ดัง วาน ลัม มือกาวทัพ “ดาวทอง” ก่อนจะเลือกเลี้ยงเข้าไปยิงเอง สุดท้ายบอลไปติดเซฟ ดัง วาน ลัม ที่ถอยไปป้องกันปากประตูได้ทัน ทำเอาเจ้าตัวถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความผิดหวัง

ซึ่งหลังจบเกมแฟนบอลไทยยังเดือดไม่หยุด ยังคงตามด่าและวิจารณ์ว่าเขาควรส่งบอลให้ “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ ที่ยืมรออยู่คนเดียวหน้าประตู เพราะหากบอลให้ “เจ” อาจทำให้ทีมได้ประตูมากกว่า 

แน่นอนว่าเหตุการณ์ดังกล่าวหากเป็นนักเตะคนอื่นๆ คงออกอาการใจแป้วไปแล้ว 


แต่เกมต่อมาในการบุกไปเยือน “อินโดนีเซีย” เขาจัดการตอกหน้าเสียงวิจารณ์ด้วยการยิงคนเดียว 2 ประตู และเรียกจุดโทษให้กับทีม พาทัพ “ช้างศึก” บุกไปกำชัยถึงถิ่นอิเหนา 3-0 

จากนั้นเสียงวิจารณ์ก็กลายเป็นเสียงชื่นชมในพริบตา 

ส่วนผลงานในระดับสโมสรเขาพาทีม “ปราสาทสายฟ้า” คว้าแชมป์ไป 10 รายการ แบ่งเป็น ไทยลีก 3 สมัย, ลีกคัพ 2 สมัย, แม่โขง คลับ แชมเปี้ยนชิพ 2 สมัย รวมถึง เอฟเอ คัพ, โตโยต้า พรีเมียร์ คัพ และ ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์ คัพ อย่างละ 1 สมัย ลงสนามไป 204 นัด ยิงไป 49 ประตู กับ 24 แอสซิสต์ 


ขณะที่ในนามทีมชาติไทย ชุดใหญ่ มีส่วนสำคัญพาทีมคว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2022 เป็นสมัยที่ 6 ที่ประเทศสิงคโปร์

เรียกว่าเขาแทบไม่มีอะไรต้องพิสูจน์ตัวเองบนแผ่นดินไทยอีกแล้ว 

การก้าวไปเล่นในเจลีกครั้งนี้ย่อมเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่สำหรับตัวเขา และเป็นใบเบิกทางที่ดีสำหรับการเปิดโอกาสให้นักเตะรุ่นต่อไปได้ก้าวตาม 

โดยเฉพาะ “แบงค์” ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา น้องชายของเขา ที่ได้รับการจับตามองจากหลายทีมในเอเชีย 


ส่วน บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด​ เองถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เหมือนกัน เพราะก่อนหน้านี้นอกจาก ศศลักษณ์ ไหประโคน ที่ไปค้าแข้งกับ ชุคบุค ฮุนได มอเตอร์ส ในเคลีก เกาหลีใต้ พวกเขาแทบไม่ปล่อยนักเตะไปค้าแข้งในต่างแดนเลย

แต่การเลือกปล่อยนักเตะตัวหลักไป “ล่าฝัน” ย่อมเป็นความเสียสละ และแน่นอนว่าผลดีย่อมตกอยู่กับทีมชาติไทย ที่จะมีนักเตะระดับสูงไว้ต่อกรกับบิ๊กทีมในเอเชีย 


หวังว่าสโมสรอื่นๆ จะกล้าปล่อยนักเตะไปค้าแข้งในต่างแดน และเปิดโอกาสให้นักเตะรุ่นใหม่ๆ ได้ก้าวมาทดแทนรุ่นพี่ๆ 

หากทำได้ฟุตบอลไทย พัฒนาขึ้นกว่าเดิมแน่นอน


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด