:::     :::

อันดับ 1 ของโลก

วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2562 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
7,217
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ช่วงเวลาประมาณนี้เมื่อ 9 ปีก่อน สโมสรลิเวอร์พูลอยู่ในสถานที่เรียกว่า "ลูกผีลูกคน" จ่อจะโดนฟ้องล้มละลายและสุ่มเสี่ยงที่จะโดนปรับตกชั้นจากการบริหารงานที่ผิดพลาดของผู้บริหารอยู่เลยนะครับ ผ่านมาเพียงแค่ทศวรรษเดียวลิเวอร์พูลก้าวกระโดดจากจุดนั้นไปยืนอยู่จุดสูงสุดของโลกฟุตบอลได้อย่างสุดยอดจริงๆ

 


ประวัติศาสตร์ที่เลวร้าย

          ประวัติศาสตร์ของทีมลิเวอร์พูลนั้นพวกเขาความแชมป์มาอย่างมากมาย และน่าจะเรียกได้ว่าได้มาครบแทบจะทุกถ้วยแล้วก็ว่าได้ ในถ้วยรางวัลระดับเมเจอร์สิ่งที่ขาดไปมีเพียงแค่ถ้วย คัพ วินเนอร์ส คัพ ที่ปัจจุบันยกเลิกไปแล้ว และถ้วยแชมป์สโมสรโลกรายการที่พวกเขาไขว่คว้ากันอยู่นี่แหละครับ เราข้ามถ้วยคัพ วินเนอร์ส คัพไปเลย เพราะว่ามันไม่มีโอกาสให้พวกเขาแก้ตัวแล้วเนื่องจากยกเลิกไปแล้ว แต่กับแชมป์สโมสรโลก มันเหมือนกับรายการอาถรรพ์ที่ไม่ว่าพวกเขาจะยิ่งใหญ่คับยุโรปขนาดไหน ก็ยังไม่สามารถความเกียรติยศนี้มาประดับตู้โชว์สโมสรได้ สถิิติของลิเวอร์พูลในรายการนี้เข้าขั้นเลวร้ายมากนะครับ พวกเขาลงเล่นรายการนี้ไปทั้งหมด 3 ครั้ง ในปี 1981 1984 และ 2005  แต่ก็คว้าน้ำเหลวทั้งหมด แต่ก็ว่ากันว่าในอดีตนั้น ทีมจากฝั่งยุโรปนั้นให้ความสำคัญกับถ้วยนี้น้อยกว่าฝั่งอเมริกาใต้ จึงทำให้หลายๆ ครั้งทีมแชมป์จากยุโรปเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปอย่างไม่น่าเชื่อ จากประวัติศาสตร์ที่ว่ามานี้เอง ลิเวอร์พูลก็หวังว่าพวกเขาจะเขียนหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ให้สโมสรให้ได้ และนี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสมเหลือเกิน เพราะ ณ เวลานี้ ทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์นั้นอาจจะเรียกได้ว่าถึงจุดพีคเต็มที่แล้ว พวกเขายอมทิ้งถ้วยในประเทศอย่างคาราบาว คัพ ก็เพื่อถ้วยแชมป์โลกที่พวกเขายังไม่เคยสัมผัสนี่แหละ
   
ไม่ง่ายอย่างที่คิด

          ก่อนการแข่งขันนัดนี้ หลายๆ คนน่าจะคิดว่านี่ไม่น่าจะใช่งานยากอะไรนักสำหรับลิเวอร์พูล เพราะในปัจจุบันทีมจากอเมริกาใต้นั้นไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนอย่างในอดีตแล้ว  โลกในปัจจุบันนั้นมันแคบลงกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่ว่าโลกขนาดลดลงแต่อย่างใด แต่ปัจจุบันที่การสื่อสารและการคมนาคมก้าวกระโดดไปไกลกว่าสมัยยุค 90 หรือ 2000 อย่างน่าตกใจ ทำให้นักฟุตบอลเก่งๆ จากทั่วทุกมุมโลก  ไม่มีทางที่จะหลุดลอดพ้นสายตาของบรรดาแมวมองหรือเหยี่ยวข่าวเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว ยิ่งประเทศที่เป็นขุมทองอย่างบราซิลแบบนี้ มีเหรอที่นักกีฬาชั้นดีจะหลุดลอดทีมใหญ่ๆ ไปได้.... ใช่ครับ มันเป็นเรื่องจริง 100 เปอเซนต์เลยแหละ แต่กับทีมฟลาเมนโก้ทีมนี้อาจจะใช้ทฤษฏีดังกล่าวไม่ได้เสมอไป เพราะนักเตะหลายๆ คนของพวกเขา ผ่านเกมยุโรปมาแล้วหลายคน ทั้งฟิลิเป้ หลุยส์ , ราฟินญ่า , กาเบียล บาร์โบซ่า ล้วนแล้วแต่เคยผ่านเกมยุโรปมาแล้วทั้งนั้น และ โค้ชของพวกเขาอย่าง จอร์จ(ฮอร์เก้) เชซุส ก็เคยผ่านการคุมทีมอย่างเบนฟิก้ามาอีก ทำให้เกมนี้สูสึขึ้นมาอย่างน่าดูชม  และเรื่องเล่าที่บอกว่า “ทีมจากอเมริกาใต้ จริงจังกับถ้วยนี้มากกว่าทีมจากยุโรป” พิสูจน์แล้วในเกมนี้ว่า เป็นเรื่องจริงครับ (ฮา)  พวกเขาวิ่งบีบ ไล่บี้ และงัดลูกหนักมาใช้กับนักเตะลิเวอร์พูลตลอดทั้งเกม  แต่จะบอกว่าลิเวอร์พูลไม่จริงจังในเกมนี้เท่าฟลาเมนโก้ก็ดูจะเกินเลยไปเหมือนกัน เพราะพวกเขาทิ้งถ้วยคาราบาวคัพมา และจัดชุดใหญ่เต็มอัตราศึกแล้วยังเข็นฟาน ไดค์ลงมาจากนัดก่อนที่ดูจะไม่สมบูรณ์มาเป็นผู้นำในเกมรับอีก จะบอกว่าไม่หวังอะไรและมาเพื่อแพ้ก็ยิ่งไม่น่าใช่ใหญ่เลย แต่ความมุ่งมั่น ตั้งใจของทั้งสองทีมที่อยู่คนละระดับกันนั่นแหละครับ ที่ทำให้เกมนี้เข้มข้นและสูสีกันในระดับที่พอฟัดพอเหวี่ยงกันเลยทีเดียว


   
DNA แชมป์ทำงาน

          ในเกมนี้แฟนๆ ลิเวอร์พูลน่าจะอึดอัดมากพอสมควรกับอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งเกมตุกติกจากฝั่งของฟลาเมนโก้เอง หรือ การตัดสินของกรรมการที่ดูจะไม่ค่อยจะเข้าทางลิเวอร์พูลซักเท่าไร หรือฟอร์มการเล่นของนักเตะลิเวอร์พูลที่ดูจะดรอปลงไปจากที่คุ้นเคยจากที่เคยเห็นกันจนชินตา แต่สุดท้ายลิเวอร์พูลก็ยังเป็นลิเวอร์พูลครับ  พวกเขามักจะหาวิธีเอาตัวรอดและเอาชนะในเกมได้เสมอๆ ในทุกๆ สถานการณ์ สภาพจิตใจของพวกเขาแข็งแกร่งถึงขีดสุด ตรงนี้ต้องชื่นชมเจอร์เก้น คล็อปป์อย่างแท้จริง ที่เปลี่ยนลิเวอร์พูลจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ขนาดนี้ พวกเขามีสมาธิกับทุกวินาทีของเกม และเลือดเย็นกับสถานการณ์ที่กดดันอย่างยอดเยี่ยม  และนอกเหนือจากนี้ สิ่งที่ต้องชื่นชมเจอร์เก้น คล็อปป์และทีมงานอีกเรื่องคือเรื่องการรักษาสภาพร่างกายของนักเตะได้อย่างดีเยี่ยมจริงๆ ผู้เล่นของลิเวอร์พูลชุดนี้กรำศึกหนักต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน และยิ่งในเกมนี้ต้องต่อเวลาพิเศษด้วย แถมยังได้พักมาไม่กี่วันหลังจากแมชต์รอบรองฯ มาอีก แต่เราไม่เห็นผู้เล่นลิเวอร์พูลเป็นตะคริวหรือว่าย่อหย่อนในการวิ่งลงไปเลย ในช่วงต่อเวลาพิเศษที่พวกฟลาเมนโก้ดูเหมือนจะเริ่มหมดแรงแล้ว แต่ผู้เล่นลิเวอร์พูลยังดูมีเรี่ยวแรงเหลือที่จะเร่งเอาประตูในช่วงนี้ได้ และก็ทำได้สำเร็จ และก้าวเป็น “อันดับ 1 ของโลก” ได้อย่างยอดเยี่ยม   

          ในอดีตเกมแบบนี้ อาจลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ของลิเวอร์พูล แต่ ณ ปัจจุบันที่ทีมพัฒนาขึ้นไปมากเหลือเกิน จนถึงวันนี้ที่พวกเขาอยู่บนจุดสูงสุดของสโมสรฟุตบอลแล้ว  ตราสีทองได้ถูกประดับกลางหน้าอกเสื้อสโมสรแล้ว แต่ ภารกิจที่จะปลดล๊อกที่พวกเขาต้องทำและเป็นภารกิจหลักของพวกเขารออยู่ในไม่กี่วันข้างหน้า และถ้วยนี้น่าจะเสริมความมั่นใจให้ คล็อปป์และลูกทีมของเขาพิชิตภารกิจหลักที่แฟนๆ รอมานานแสนนานลงได้ แฟนๆ ลิเวอร์พูลรอที่จะเห็นเฮนโด้ ซอยเท้า ยิกๆๆๆ และชูถ้วยพรีเมียร์ลีก ไม่ไหวแล้ว ฮรี่ๆ





ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด